เพิ่งอยู่ปีหนึ่งใครเค้าเริ่มฝึกงานกัน ก็เราไง *ยกมือ*

เพิ่งอยู่ปีหนึ่งใครเค้าเริ่มฝึกงานกัน ก็เราไง *ยกมือ*

สวัสดีครับ ชื่อบล็อกเพื่อนตั้งให้ครับ... คิดไม่ออก ไม่รู้หาอะไรเกร๋ ๆ ตั้งเป็นชื่อบทความเด็กฝึกงานแบบผมดี เพื่อนเลยให้ชื่อนี้มา

ก็สวัสดีครับ ตอนนี้อยู่ในสถานะเด็กฝึกงานที่ BEM หรือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ตำแหน่งอะไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน... คือต้องบอกว่าไม่ได้รับแจ้งตำแหน่งเป็นทางการ เลยไม่กล้าสรุปเองว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งอะไร แต่ถ้าพูดกันจริง ๆ ก็คือตอนนี้เป็น Web Developer (PHP)

เริ่มฝึกมาประมาณหนึ่งสัปดาห์ครับ เลยถือว่าบล็อกนี้เป็นบล็อกเปิดงานเลยเกี่ยวกับการฝึกงานในชีวิตเด็กปึหนึ่งขึ้นปีสอง เรื่องการเข้ามาฝึกไงและได้เงินตอบแทนเท่าไหร่ขอข้ามไปละกันครับ ไปพูดว่าใช้ชีวิตยังไงกันดีกว่า ตอนนี้ก็กลายเป็นพนักงงานออฟฟิศเต็มตัว ต้องตอกบัตรเช็คเวลาเข้าออกเหมือนทั่วไปเป๊ะ เข้างาน 8.30 น. ออกงาน 17.30 น.

การเดินทาง

ตอนนี้เหมือนมีบ้านสองหลังครับ หอ กับ บ้านจริง ๆ เวลาเดินทางมาทำงาน ถ้ามาจากบ้านก็ต้องสี่ต่อกันเลย คือ วินมอเตอร์ไซค์ - เรือ - BTS - ARL ส่วนถ้ามาจากทางหอที่ลาดกระบังก็จะเหลือสองต่อครับ คือ สองแถว - ARL ถึงเลย แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นแม่ไปรับไปส่งแทน เพราะใกล้ที่ทำงานแม่ด้วย

ปกติเรียน 9.00 น. ตื่นเจ็ดโมง ชิล ๆ ไปเรียนไม่เคยสาย แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมาตื่นตีห้าครึ่ง หรือหกโมงถ้ามาจากลาดกระบัง พึ่งผ่านมาสัปดาห์เดียวก็รู้สึกแล้วว่าเหนื่อยมากกับการต้องตื่นเช้าแล้วเบียดผ่านผู้คนเพื่อไปเข้างาน เพราะสมัยมัธยมอยู่โรงเรียนประจำไม่เคยเจอแบบนี้เลย กลายเป็นเหมือนมาเข้าใจความรู้สึกมนุษย์เงินเดือนที่ต้องตื่นเช้าเข้างาน ไม่แปลกใจเลยว่าตอนเย็น ๆ เลิกงานทำไมคนเหล่านี้ดูเหนื่อยหน่ายกันนัก

การใช้ชีวิตในบริษัท

ผมทำงานอยู่แผนก... เรียกให้เข้าใจง่ายคือ Developer ละกัน คอยพัฒนาดูแลระบบซอฟต์แวร์ที่ไว้ใช้ภายในบริษัท (EasyPass ผมไม่เกี่ยว ถ้ามีปัญหาอย่าหลังไมค์มาด่าผมนะครับ) ก็ได้นั่งทำงานแบบใกล้ชิดกับคนอื่น โต๊ะคล้าย ๆ สำนักงานทั่วไปแค่ไม่มีที่กั้นฉากแบบสำนักงาน

แต่ตัวแบบปกติคือเชิ้ตกับกางเกงสแล็ก วัน ๆ ก็นั่งหน้าคอมเขียนโปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ มีงานเอกสารบ้างนิดหน่อย ก็จำพวกการรายงานว่า โปรแกรมที่เราออกแบบเป็นอย่างไรงี้ครับ

พวกอาหารการกินก็สบายดีครับ ในแผนกผมเขาจะรวม ๆ กันสั่งสำหรับคนไม่อยากออกไปกินข้างนอก เข้าทางคนขี้เกียจอย่างผมเลย สั่งรัว ๆ ทุกวันแล้วมานั่งกินที่โต๊ะ

ตอนนี้ชีวิตการเป็นเด็กฝึกงานก็เข้าที่ขึ้นเรื่อย ๆ ปรับเวลานอน ตื่นเช้าขึ้น ทำความรู้จักคนมากขึ้น ตอนนี้คือพยายามจำชื่อพี่ ๆ ในแผนกให้ได้ทั้งหมดก่อนเลย (ฮา) เพราะตนเองเป็นคนจำหน้าคนและชื่อไม่ค่อยเก่ง

ทุกวันนี้ก็เหมือนเข้าใจมนุษย์ออฟฟิศ หรือมนุษย์เงินเดือนขึ้นนิดนึง กับการต้องตื่นเช้า มาเบียดกับคนในรถไฟ หรือไม่ก็หนีการจราจรที่ฉิบหายเละเทะในกรุงเทพเมืองเทพประทานนี้ สมัยเป็นเด็ก ภาพมนุษย์วัยทำงานที่พบเห็นในละคร หรือหนังก็คือ ทำงานเสร็จไปแดนซ์ต่อกันในผับ กลายเป็นทำให้ไปเผลอคิดว่า เออ ทำงานคงดูไม่เหนื่อย ก็แค่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเองทำงานของตัวเองเรื่อย ๆ แต่พอมาเป็นจริง ๆ เออแหะ มันเหนื่อยนะคุณ ผมเลิกงานผมอยากกลับบ้านอย่างเดียวเลย อยากไปนอน

เข้าเสาร์ อาทิตย์แรกของการฝึกงาน ผมได้ตื่นสายครั้งแรก รู้สึกเหมือนรักวันหยุดมามากขึ้นเป็นเท่าตัว รู้ซึ้งเลยทำไมคนวัยทำงานเขาโหยหวนกับวันจันทร์ และตื่นเต้นกับเสาร์ อาทิตย์อย่างกับเด็กเห็นของเล่น เพราะมันเหนื่อยกันมากนี่เอง

ความรู้สึกของการฝึกงานมันไม่เหมือนการไปนั่งเรียนเช้า ๆ เย็น ๆ กลับอย่างที่เคยคิดตอนแรกเลย เวลาเรียน คุณมาเรียน คุณหลับหรือหันไปคุยกับเพื่อนชิล ๆ เล่นมือถือไปด้วยก็ได้ แต่พอมาทำงาน เหมือนรู้สึกว่าทุกเวลาที่อยู่ในออฟฟิศเราควรทำงานให้เสร็จ ไม่รู้เพราะผมคิดมากแล้วเกร็งไปคนเดียวหรือเปล่า กลัวแบบเดี๋ยวบริษัทจ้างมาไม่คุ้ม (เด็กฝึกงานทำงานอย่างกับพนักงานประจำ) ผมเลยไม่กล้าลุกไปเดินเล่นที่ไหนเวลางาน จะนั่งทำงานตลอด

ทำไมต้องรีบฝึกงาน

ผมก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากรีบฝึกงาน แต่ด้วยนิสัยอยากนำเพื่อน หรือง่าย ๆ ชอบเอาชนะคนอื่นในเรื่องที่ทำได้ (ถ้าทำไม่ได้ก็ช่างมันขี้เกียจไปเอาชนะ...) เลยอยากฝึกงานตั้งแต่ปีหนึ่ง เพราะปกติคนอื่น ๆ จะเริ่มฝึกกันปีสอง (สายไอทีอาจฝึกงานง่ายหน่อย ถ้าพอเขียนโปรแกรมเป็น) ซึ่งยิ่งถ้าเราเริ่มอะไรเร็วกว่าเพื่อน เราก็จะยิ่งมีโอกาสในการเรียนรู้มากกว่า วิ่งนำไปก่อนนั้นเอง

อีกประการ คือ ยิ่งคุณเป็นเด็กฝึกงานที่อายุน้อย คนในบริษัทเขา (น่าจะ) คาดหวังกับคุณน้อยลง คือมันไม่แย่นะ เพราะถ้าจุดหนึ่ง เราทำอะไรผิดพลาด เขาจะไม่ด่าเรามาก เพราะสุดท้าย เราก็ยังเป็นเพียงเด็กฝึกงาน จุดประสงค์ของเราก็คือเข้ามาเรียนรู้ เพราะฉะนั้นคนในบริษัทจะตั้งอยู่บนความคิดว่า เรายังทำอะไรไม่ค่อยเป็นอยู่แล้ว (แม่สอนมาอันนี้) แต่ถ้าเรากลายเป็นพนักงานเต็มตัว หรือพนักงานฝึกงาน เขาจะถือว่าคุณต้องทำงานเป็นมาแล้ว

สรุป (คิดอะไรไม่ออกเลยตัดจบ)

ถ้าใครมีโอกาสก็อยากให้ลองไปฝึกงานบ้าง ย้ำครับ ฝึกงาน ไม่ใช่รับ Part-time ร้านกาแฟหรือร้านขายขนม มันไม่เหมือนกันเลย การเป็นพนักงานในบริษัท กับการไปเดินเช็ดโต๊ะ คิดเงินนี่มันคนละฟิลมาก (ในความคิดผม) มันจะเห็นการทำงานเป็นระบบของบริษัทและการทำงานในชีวิตจริงมากขึ้นเยอะเลย และได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตอะไรหลาย ๆ อย่างที่ห้องเรียนและการทำงานในรั้วมหาลัยมันไม่มีด้วย

ป.ล. สองคำถามโดนถามบ่อยสุดระหว่างการฝึกงานสัปดาห์แรกคือ ทำไมถึงมาฝึกงาน กับ มาฝึกงานเก็บหน่วยกิตหรือเปล่า