บอกเล่าเก้าสิบ ประสบการณ์แข่งโปรเจ็กต์ที่แดนปลาดิบ

แข่งโปรเจ็กต์แดนปลาดิบครับ แต่แทบไม่ได้แตะปลาดิบเลย กลับมาไทยที่เสี้ยนมาก ต้องหาร้านไปนั่งกินโดนเอาเงินจากงบที่เหลือจากตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นมากิน...

ย้อนไปหลายปีก่อน เอาจริง ๆ ก็แค่สองปีก่อนเคยมีเพื่อนชวนไปเที่ยวญี่ปุ่นนานประมาณสัปดาห์นึงด้วยงบประมาณห้าหมื่นหรือเจ็ดหมื่นนี่แหละ ผมจำไม่ได้ ที่บ้านผมก็พยายามดันให้ผมไป แต่ตอนนั้นงกครับ บอกว่าแพงอะ อยากไปฟรี แม่ผมนี่สวนเลย มันจะมีที่ไหนให้ไปญี่ปุ่นฟรีแบบไม่ต้องเสียอะไร (เออ ก็จริง...) สองปีต่อมา ทะด๊า! เที่ยวญี่ปุ่นฟรีจ้า แต่ต้องไปนำเสนอโปรเจ็กต์ด้วย (ฮา)

การแข่งขันนี้เป็นการแข่งระดับนานาชาติ ชื่อเต็ม ๆ คือ NAPROCK 8th International Programming Contest ซึ่งภายในงานแบ่งการแข่งเป็นสามประเภท คือ Competition เป็นการแข่งแก้ Puzzle game ต่อมาคือ Theme คือทางกรรมการจะกำหนดธีมโปรเจ็กต์มาให้ แล้วให้ทำภายใต้หัวข้อนั้น ๆ โดยปีนี้เป็นธีมกีฬา ส่วนหัวข้อสุดท้ายและเป็นหัวข้อที่ผมลงแข่งคือ Original ไม่กำหนดหัวข้อ ทำอะไรก็ได้ เน้นความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร

เรื่องรายละเอียดโปรเจ็กต์ผมขอข้ามไปละกัน หากอยากรู้ให้ตามไปอ่านที่ลิงค์ท้ายบทความครับ ในบทความนี้ขอพูดเรื่องการไปท่องญี่ปุ่นอย่างเดียว

Intro

//อ้าว ก่อนหน้านี้มันไม่ใช่ Intro หรอ...

ต้องบอกก่อนเลยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปญี่ปุ่น และเป็นทริปที่สองที่ได้นั่งเครื่องบิน ครั้งแรกของการนั่งเครื่องเป็นการไปลงแข่งหุ่นยนต์ที่ภาคใต้ คือ มันก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นนะ เพราะไม่รู้ตื่นเต้นอะไร แต่จริง ๆ ในใจลึก ๆ ก็ตื่นเต้น ออกอาการมากตอนกำลังจะขึ้นบินจากไทย (ฮา)

ทริปนี้จะยาวประมาณ 4 วัน เครื่องออกวันที่ 7 ตุลาคม ตอนเที่ยงคืนห้านาที กลับมาไทยวันที่ 11 ตุลาคม ออกจากญี่ปุ่นเที่ยงคืนสามสิบนาที

ปัญหาแรกของคนไม่เคยเที่ยวญี่ปุ่น ไม่รู้ต้องเตรียมเงินไปแค่ไหนครับ... เป็นประเด็นมาก คุยกับที่บ้านตอนแรกก็กะเอาไปไม่กี่พัน เพราะเห็นว่าทางนั้นเลี้ยงข้าวและจ่ายค่าเดินทางให้หมด (ทางนั้น คือ ทางผู้จัดงานที่ญี่ปุ่น) สรุปไป ๆ มา ๆ เอาไปหมื่นหนึ่งพอดี ก็สามหมื่นเยน

วันเครื่องออก

วันที่เครื่องออกนี่ที่บ้านมาส่งกันประมาณสามคน คนในบ้านตื่นเต้นครับ ลูกหลานได้ไปแข่งต่างแดน ตื่นเต้นกว่าผมก็คนในบ้านนี่แหละ ก็พาไปกินข้าวก่อนไปแข่งที่ญี่ปุ่น พีคมากครับตอนหาร้านกิน คือวันรุ่งขึ้นก็ไปญี่ปุ่นแล้ว สรุปก่อนไปดันเลือกร้านอาหารญี่ปุ่น ไปกิน ZEN ครับ ให้เหตุผลว่า เป็นการเปรียบเทียบว่า อาหารญี่ปุ่นที่ไทยกับของที่ต้นฉบับรสชาติต่างกันไหม...

วันนี้ก็มีเพื่อน ๆ ที่คณะมาส่ง ก็ขอบพระคุณมาก ๆ ครับ

เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ ปลื้มมากครับตอนเดินเข้าไปที่เกต เดินผ่านโซน Duty Free (เรียกงี้ปะ) ไกลมาก อย่างกับทำไว้วิ่งมาราธอน

สุดท้ายก็ไปนั่งรอเครื่อง แล้วต้องต่อรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องอีกทีครับ มีอาการเงอะ ๆ งะ ๆ นิดหน่อย เพราะครั้งแรกที่ได้บินต่างประเทศ (ปกติไปต่างประเทศไปแต่ประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไปด้วยรถยนต์หมด)

วันแรก (จริง ๆ ละ)

ไปถึงตอนแปดโมงกว่า ๆ ถ้าจำไม่ผิดครับ ไปลงสนามบิน Chubu ที่นาโกย่าครับ สนามบินบ้านเมืองเขาดูคลีน ดูเป็นระเบียบดีผมชอบ แต่น่าจะเพราะคนไม่เยอะด้วย เอาจริง ๆ คือน้อยมากแหละ เรื่องคน

ไปถึงก็รับกระเป๋า ผ่านตม. ได้เจอคนญี่ปุ่นจัง ๆ ครั้งแรกของทริปก็ตรงตม. ผ่านไปแบบไม่โดนกักตัว พอดีใสใส คนดีไรงี้ เขารับเข้าประเทศง่าย (อ้าวไม่ใช่หรอ)

ข้าวเช้าที่โดนกันมาแล้วบนเครื่องบินเลยไม่ค่อยหิว ออกมาจากสนามบินเลยไปต่อรถไฟเลย สนามบินที่ไปที่มีรถไฟต่อได้ทันที ก็เดินลาก ๆ กระเป๋าไปซื้อตั๋ว ผมกับเพื่อนที่ไปอีกคนที่ได้แต่ยืนอึ้งไม่รู้ต้องไปไหน ไม่มีภาษาอังกฤษ (ฮา) อาจารย์ก็จัดการเรื่องตั๋วให้ ถามประชาสัมพันธ์ ได้คำตอบเป็นอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น จัดการซื้อตั๋วเสร็จสรรพก็เดินไปชานชาลารถไฟ

ครับ... ปัญหาต่อมาคือ มันต้องไปขึ้นขบวนไหน คือ ยืนงงอยู่ตรงชานชาลานานมาก ผมกับเพื่อนกับอาจารย์ ยืนจ้องป้ายรถไฟตั้งนานว่าต้องขึ้นขบวนไหน กว่าจะหาพบว่าต้องไปขึ้นขบวนไหนก็ต้องรออีกสักพักกว่ารถไฟจะมา ซึ่งรถไฟเขาตรงเวลาจริง จริงจังมากนะอันนี้ คือแบบเข็มนาทีขยับปุป รถไฟมันมาทันที มีความ such wow มากครับ

ภาพอาจเบลอนิดนึงครับ ถ่ายตอนเดินกำลังจะไปขึ้น Express ตอนเดินขึ้นรถไฟนี่ชอบมากครับ อากาศเย็น ๆ วันนั้นไปเหมือนจะต่ำกว่า 25 นิดหน่อย เดินชิว ๆ เหมือนอยู่เชียงใหม่หน้าหนาว

นั่งไปไม่นานก็ถึงสถานี ผมจำไม่ได้สถานีอะไร คือมาแค่เพื่อไปต่อรถแล้วนั่งต่อไปสถานี Ujiyamada ที่เมือง Ise ซึ่งนั่นคือปลายทางจริง ๆ

พอมาถึงสถานีต่อรถ ก็เดินหาต่อครับว่าต้องไปขึ้นที่ไหน ตอนนี้แหละครับตัวป่วนเลย เพราะสถานีรถไฟดูซับซ้อนมีต้องลงลิฟต์ เดินไปมา แต่คือที่ญี่ปุ่นเขาป้ายชัดเจนละเอียดดีมาก ไม่ต้องถามทางเลย สุดท้ายก็ซื้อตั๋วสำเร็จพร้อมไปขึ้นขบวนต่อไป

นอกเรื่องอย่างนึง คือ ผมชอบตัวประตูตรวจบัตรรถไฟญี่ปุ่นมาก มันดูล้ำแล้วใช้งานง่ายดี คือมันเดินเข้าไปแล้วหยอดบัตรแล้วเดินต่อได้เลย ไม่ต้องรอประตูปิดก่อน อย่าง BTS บ้านเราเคยมีคนบอกว่ามันก็ทาบบัตรแล้วเดินต่อได้เลยจากคนหน้าเรา แต่เคยลองแล้วพบว่ามันด่าใส่ผม คือแบบมันร้องอะ แล้วต้องถอยออกจากประตูก่อนแล้วค่อยทาบบัตรใหม่

หน้าตาบัตรรถไฟเป็นแบบนี้จ้า เหมือนกระดาษธรรมดา แต่ความจริงเป็นแผ่นแทบแม่เหล็ก อีกด้านจะเป็นสีดำ ๆ ญี่ปุ่นหมด อ่านไม่ออกเลยจ้า

ไม่ได้ถ่ายวิวระหว่างนั่งเลยครับ เพราะหลับตลอดทาง มือถือแบตหมดด้วย นึกว่าบนเครื่องบินมีที่ชาร์ต สุดท้ายก็มาตื่นตอนท้าย ๆ หลังจากนั่งยาวมาสองชั่วโมง สู่เป้าหมายปลายทาง Ujiyamada

ลงมาจากรถไฟก็ประมาณเที่ยง ๆ แล้ว เลยหาข้าวกินกันก่อนในสถานีรถไฟ ซึ่งโชคดีสถานีรถไฟที่ผมมาถึงใหญ่พอสมควร มีร้านของฝากร้านอาหารอะไรบ้าง เลยได้ลองไปกินร้านนึง

แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของการมากินร้านทั่วไปที่ญี่ปุ่นคือ... ไม่มีพนักงานพูดอังกฤษได้เลย เมนูก็ญี่ปุ่นหมด

คือพออาจารย์พูดอังกฤษใส่พนักงาน พนักงานทำหน้างง ๆ แล้วพูดอะไรสักอย่างกลับมาแล้วเดินหนีไปเลย เราก็แบบ อ้าวละไง ต้องจิ้ม ๆ ละหรอ แล้วเหมือนพนักงานก็กลับมาพร้อมกับตัวแทน คือพนักงานอีกคน แต่พอกันครับ ญี่ปุ่นกลับมารัว ๆ สุดท้ายต้องกลับสู่พื้นฐาน ภาษามือ...

ก็จิ้ม ๆ ไป ผมก็มึน ๆ ก็สั่งอะไรที่คุ้นเคย สั่งคัตสึด้งไป อยากรู้มากกว่าของที่นี่เขาเป็นไง (ผมเสียดายมากที่ผมไม่สั่งปลาดิบ เพราะเป็นโอกาสครั้งเดียวในทริปที่ได้เห็นปลาดิบในเมนู)

รีวิวครับ อาหารญี่ปุ่นแท้ ๆ ไม่รู้เลือกร้านผิดหรืออย่างไร เลี่ยนมาก... คือทุกวันนี้เวลาไปกินร้านญี่ปุ่นในไทยเขาจะมีผักดองมาให้ ผมไม่เคยกินเลย ไม่รู้กินทำไม แต่รอบนี้คือแบบต้องขอผักดองอาจารย์มากินเพิ่มแก้เลี่ยนอะ เลี่ยนจริง ๆ เลี่ยนระดับเพื่อนลองชิมแล้วหันมาถามว่า กินไปได้ไงครึ่งชาม...

//ยังการันตีครับ คัตสึด้งถูกไม่แพงอร่อย ๆ ของไทยต้องไปคัตสึยะ (ได้ค่าโฆษณาไหม)

กินเสร็จก็จบ ไม่มีอะไร ไปลงทะเบียนครับ

ลงทะเบียนเสร็จเขาก็พาเราไปห้องพัก ห้องรอ หรืออะไรก็ช่าง เขาเรียกว่า Waiting Room อะครับ ผมไม่รู้ควรแปลว่าอะไร ห้องรับรองหรอ ? รอตั้งแต่บ่ายสอง ยันห้าโมงเย็น... คือรอรถเขามารับไปเก็บของที่โรงแรมแล้วพาไปกินข้าว

อวดโรงแรมนิดนึง

ห้องค่อนข้างเล็ก แต่ไม่ได้แปลกใจอะไร ตามสไลต์ประเทศเกาะกลางทะเลไม่ค่อยมีพื้นที่ใช้สอย แต่ห้องน้ำอะคุณ เล็กมาก 2m x 1.5m เห็นจะได้ มีที่แค่หมุนตัว การใส่เสื้อผ้าในห้องน้ำบอกเลยว่าลำบาก

สุดท้ายเก็บของเสร็จก็ไปกินข้าว แต่ขออภัยครับ ไม่ได้ถ่ายมา พอดีกินรวม ก็เกรงใจเขา มากินข้าวแล้วถ่ายรูป บรรยากาศมาคุ ๆ ด้วยเพราะมานั่งกินกับทีมต่างชาติ แล้วพึ่งรู้จักกัน ก็ไม่รู้จะคุยอะไร

บรรยายแปป ตอนกินข้าว แบบเห็นในอนิเมะเลยครับ ห้องส่วนตัว มีโต๊ะเตี้ย ๆ นั่งเบียด ๆ นั่งขัดสมาธิยังแทบไม่ได้ครับ แต่อาหารที่ระรานตามาก มาเต็มโต๊ะ มีอันนึงติดตาผมมาก ผมเรียกมันว่าไข่พะแนง จินตนาการไข่เจียวอยู่ในกระทะพอดีไซส์แล้วราดด้วยแกงพะแนงแต่ไม่มีเครื่องครับ นั่นเลย แต่รสชาติไม่คล้าย

กินเสร็จ สุดท้ายพากลับที่พัก แต่ระหว่างกลับที่พักผมสักเกตอย่าง คือ ถนนเมืองที่ผมไปนี่มันเล็กมาก คือ อารมณ์ประมาณซอยรถวิ่งได้ทางเดียวแบบบ้านเรา แต่ญี่ปุ่นเขารถเล็กมาก (รถบัสที่ผมนั่งก็เล็ก) มันเลยวิ่งสวนกันได้

กินเสร็จกลับมาที่พัก ก็ลองไปเดินห้าง Aeon Mall ที่อยู่ตรงข้าม

ก็ห้างอะคุณ คือผมไปผมก็ไม่รู้จะคาดหวังอะไร แต่ก็ยังอยากไป พลาดมาก ไม่ได้ซื้อขนมหลายอย่างที่อยากกิน เพราะคิดว่ามีเวลามาอีก แต่มันไม่มี...

พีคสุดคือตอนจ่ายตัง ผมซื้อของไม่เกินพันเยนมั้ง แล้วจ่ายแบงค์หมื่นเยนไป คิดว่าพนักงานคงจะมองแรงใส่นิดนึง แต่ไม่เลย พอให้แบงค์หมื่นไปเขาสอดเข้าเครื่อง แล้วเครื่องนั้นมันก็พ่นเงินทอนออกมาให้เลย คือแบบ โอ้ว นี่หรือประเทศพัฒนาแล้ว ว้าวมากจริง ๆ ตอนนั้นอึ้งเลยว่าโลกเรามีเครื่องแบบนี้ด้วยหรอ

สุดท้ายก็กลับมาอาบน้ำ นอน หมดวันแรกแต่เพียงเท่านี้

วันที่สอง (วันแข่ง)

ตื่นหกโมงครึ่งครับ ตามเวลาญี่ปุ่น ไม่อาบน้ำครับ ย้ำครับ ไม่อาบน้ำ คิดว่าคงเป็นธรรมดาของคนญี่ปุ่นที่เขาไม่อาบน้ำบ่อย ไหน ๆ เหงื่อก็ไม่ออก

ข้าวเช้าของโรงแรมเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ที่ดูไม่เหมือนบุฟเฟต์ คือ เขาให้ตักได้ตามใจชอบนะครับ แต่ที่เห็นคือทุกคนก็จะถือถาดแล้วเดินไปตักเรื่อย ๆ หยิบทีละอย่าง แล้วค่อย ๆ เดิน พอหยิบครบทุกอย่างก็กลับมานั่งที่ แต่คือไม่รู้ผมไม่สังเกตหรืออะไร ผมไม่เห็นคนไปเดินตักซ้ำ ถ้าเป็นบุฟเฟ่ต์แบบอาหารในโรงแรมในไทย ก็คืออยากกินอะไรหยิบ ๆ มาก่อน เดี๋ยวค่อยเดินไปตักใหม่

เอาจริงมันก็คงไม่ได้เรียกว่าบุฟเฟต์แหละ แต่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร


//กินไปสักพักแล้วพึ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องถ่าย

กินเสร็จก็ขึ้นรถแล้วเดินทางไปที่แข่งขันต่อ

ส่วนพีคสุดของทริปมันคือตรงนี้ คือ อยากให้ท่องคำว่า งาน International ไว้ครับ ภาพที่มโนขึ้นมาคือ ภาษาอังกฤษมันคือภาษากลาง ป้ายต้องมีภาษาอังกฤษ แต่ปรากฏว่าเข้าไปในงานปุป... ทุกอย่างภาษาญี่ปุ่นหมดเลยจ้า... พอเดินเข้าไปก็เหมือนติดสตั๊น ไม่รู้ต้องทำไงต่อ ทางคนญี่ปุ่นที่คอยดูแลทีมต่างชาติ เขาก็เชิญ ๆ บอกให้ไปชั้นสี่ อะชั้นสี่ เดินไปถึงปุป หนักกว่าเดิม ทุกคนพูดญี่ปุ่นใส่ ป้ายก็ไม่มีอังกฤษเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้น พอถึงช่วงอธิบายกฎระเบียบของงาน เขาจัดเต็มมาเลย! ญี่ปุ่นล้วนไม่มีอิงผสม!! คือจังหวะนั้นคือทุกอย่างตีกันมากครับ เอาไงดี ต้องทำไง แล้วเขาพูดอะไรอยู่ เขาเรียกเราหรือเปล่า...

จนทางผู้จัดงานพูดเสร็จ ทีมผมก็หันไปถามทีมนานาชาติที่มาจากสิงค์โปร์ว่าเขาใจไหม ทางนั้นก็ตกที่นั่งลำบากแบบเดียวกับเรา ไม่เข้าใจเหมือนกัน คือผมก็มั่นใจนะว่าเขาต้องรู้ว่ามีทีมนานาชาติมาแข่ง แต่คงคิดไว้แล้วว่าไม่ใช้ภาษาอังกฤษแน่ ๆ นี่ญี่ปุ่นไง ญี่ปุ่นล้วน ๆ

สุดท้ายก็เจอบูตครับ แม้แต่ชื่อบูธทีมนานาชาติ ยังไม่มีภาษาอังกฤษ ต้องขอบคุณที่มันยังมีหมายเลขแปะบอกให้

มาถึงก็เห็นทีมอื่นเริ่มจัดบูธ เราก็เริ่มจัดบ้าง ก็เป็นแค่โปสเตอร์ไซส์ A3 สี่แผ่น ง่าย ๆ แบบทั่วไป และก็ QR code ของเว็บเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม

แต่ตอนจัดไปสักพักพวกผมคือเริ่มเครียดตอนเห็นทีมญี่ปุ่น คือเขาจัดเต็มมาก มากแบบมากจริง ๆ

มีทีมตรงข้ามผม ผมเรียกว่าว่าทีมต้นส้ม เพราะพี่แกเอาต้นส้มมาตั้งโชว์ไว้บนโต๊ะเลย! ไม่รู้ของจริงหรือปลอม แถมใส่ชุดเกษตรกร (มั้ง) มาด้วย

มีทีมนึงครับ ไม่ติดโปสเตอร์ โปสเตอร์อะไรไร้สาระครับ เขาจัดเต็มเลย ทีวีจอแบบใหญ่มาก ไม่รู้ตอนนี้ใหญ่สุดมันแค่ไหน แต่คือมันยาวเกือบเท่าโต๊ะขนาด 1.5 เมตรได้เลย คือใช้แทนโปสเตอร์เลย

อีกทีมครับ ทำเกมเต้น พี่แกเหมือนแทบยกตู้เกมเต้นที่ทำเองมาโชว์เลย เป็นเกมที่น่าจะใช้ Kinect จับท่าเต้น แล้วก็วัดคะแนน คล้าย ๆ พวก Just Dance แต่อันนี้เขายัดทีวีไว้ในกระจกอีกที ก็เกร๋ดีครับ

มีอยู่ทีมนึง แข่งหมวด Theme ผมยอมใจเลย เขาทำเก้าอี้นั่งชมวิดีโอแบบขยับได้ คล้าย ๆ พวกโรงหนัง 4มิติ คือเก้าอี้จะอยู่บนแกนไฮโดรลิกส์ ซึ่งขยับได้ 8 ทิศ แล้วตั้งทีวีล้อมไว้ 180 องศา แต่ก็ให้ผู้ที่ไปนั่งใส่ Google Cardboard ไว้ คืออันนี้ยอมใจจริง ๆ เห็นแล้วกราบ

ที่ผมสังเกตคือ ทีมญี่ปุ่นชอบทำอะไรที่มันจับต้องได้ เล่นได้ในชีวิตจริง หรือไม่ก็พวก VR เข้าใจว่าอาจจะเพราะเป็นสายวิชาชีพส่วนใหญ่ด้วย การทำงานช่างอะไรพวกนี้น่าจะถนัดและสนุกกว่าสำหรับพวกเขา

ทีมภาพใต้นี้ ทำคล้าย ๆ โปรแกรมตรวจจับการออกกำลังกาย หรืออะไรสักอย่าง ผมไม่ได้ถาม แต่ทีมนี้เขาฮารด์เซลมาก คือผมเคยเห็นแบบในอนิเมะที่พนักงานขายของจะใส่เสื้อคลุมแล้วออกมายืนตะโกนหน้าร้าน "มาลองชิมกันได้นะคร้าบบบ" แล้วทีมนี้เขาก็แบบนี้เลย เวลามีคนเดินผ่านเขาฮาร์ดเซลมาก แทบลากคนเข้าไปลอง

ส่วนย้อนกลับมาทีมตัวเอง เราก็เน้นความ Minimal ครับ เรียบง่าย... ไม่ใช่อะไร มันแบกจอคอมมาด้วยไม่ได้ ไม่งั้นคงแตกตอนขนมาแน่ ๆ

ระหว่างจัดบูธก็มีคนญี่ปุ่นเดินเข้ามาถาม โดนส่วนใหญ่คนที่เดินมาแล้วทำท่าจะถามจริงจังนี่เขาจะพูดอังกฤษได้ คล่องด้วย อาจมีบางคนที่ฟังยากหน่อย เช่นผมมีปัญหากับการฟังคำว่า Worker ซึ่งผมฟังเป็น Waka

แต่ในกรณีที่เขาแคเดินมาทำท่าสนใจ ไปถามว่าสนใจหรอ ถามได้นะงี้ มีโอกาสเจอคนพูดอิงไม่ได้สูงมาก เช่น ผมเจอกลุ่มนึง พูดฟังอังกฤษพอได้นะ แต่ก็น้อยมากเทียบกับชั้นมัธยมไทย ก็ต้องอธิบายช้ามาก ๆ คำต่อคำ แล้วก็เปิด Google Translate จากอังกฤษเป็นญี่ปุ่นให้ดู

ในส่วนของมื้อเที่ยงวันแข่งวันแรก ทางผู้จัดงานเตรียมข้าวกล่องไว้ให้แล้ว เป็นข้าวกล่องที่ดูไฮโซมากครับ อร่อยใช้ได้

มาสู่ตอนบ่ายก็เป็นช่วงการต้องไปนำเสนอ รอบนี้เพื่อนผมนำเสนอเดี่ยว เพราะะผมพูดอังกฤษไม่เก่ง และตอนแรกผมเป็นคนกดสไลด์ แต่ว่ากรรมการอนุญาติให้ทำคนเดียวทั้งหมดได้ ซึ่งเพื่อนก็ทั้งพูดและเลื่อนสไลด์คนเดียวเลย เพราะจัดการง่ายกว่า

ก็ไม่มีอะไรแปลกมาก ให้เวลาพูด และช่วงถามตอบกรรมการ แต่จากการคาดเดาของผม ผมคิดว่าในห้องนั้นซึ่งมีกรรมการอยู่ประมาณเกือบ 20 คน มีแค่คนเดียวที่ฟังและพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะที่เหลือดูไม่ถามไม่สงสัยอะไรเลย และอีกคนคือฟังออกบ้าง แต่พูดไม่ได้ เพราะต้องใช้ล่าม(พิธีกรในงาน) แปลให้เวลาถามตอบ สุดท้ายส่วนใหญ่ก็เลยจะหนักไปที่พิธีกรต้องคอยแปลให้ตลอด

นำเสนอเสร็จ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร เดินชมงานเล่น ลงไปกดน้ำกินเล่น (ฮา) ชอบตู้กดน้ำอัตโนมัติญี่ปุ่นมากครับ น้ำหลากหลายชนิดมาก และเครื่องก็เยอะมากด้วย มีแทบทุกมุมตึก

พอจบว่า สุดท้ายก็เดินเล่นครับ ออกมาจากงานกะว่าจะไปหาอะไรกิน และเดินเล่นนิดหน่อย

ผมชอบอย่างเวลาเดินเล่นในเมืองเขา ทุกอย่างมันดูสะอาด โล่งสบายตา เป็นระเบียบ การต้องรอสัญญาณไฟข้ามถนนทั้ง ๆ ที่ไม่มีรถเลยสักคัน หรือกระเบื้องที่วางสนิททุกแผ่นไม่มีหญ้าแทรกขึ้นมา อีกทั้งวันนั้นอากาศก็เย็นสบายด้วยครับ เดินเรื่อย ๆ ไม่ร้อน ไม่มีเหงื่อ

มีแวะไปเดินเข้าไปดูศาลเจ้าข้างทางหน่อย แต่เงียบหมด ไม่มีคน และไม่ค่อยใหญ่มากด้วย

มีแต่น้องแมวมาเฝ้าศาลเจ้า หลายตัวนะครับ แต่ถ่ายชัดสุดคือตัวนี้

สุดท้ายไม่รู้จะกินอะไรครับ เดินไปมากะไปหาอะไรกินที่สถานีรถไฟเหมือนเดิม แต่ดันไปเจอทีมชาติสิงค์โปร์ที่เขาแข่งข้างบูธพวกผม ก็เลยขอติดสอบห้อยตามไปด้วย เพราะเหมืองทางทีมนั้นจะมีคนที่เรียนอยู่ญี่ปุ่น รู้ทางอยู่แล้ว น่าจะสบาย ซึ่งสรุปว่าเขาจะไปห้างกันครับ ห่างไปหนึ่งสถานีรถไฟ

สุดท้ายก็คือต้องกดตั๋วรถไฟไปกับทีมสิงค์โปร์ ก็ได้ไปเปิดหูเปิดตาลองหาอะไรกิน หาเพื่อนด้วย (ฮา) ตอนแรกเหมือนจะไปกินเนื้อกัน แต่มีคนกินเนื้อไม่ได้ เลยเปลี่ยนแผน

จากสถานีรถไฟก็เดินไปอีกสักนิด คือ อากาศไม่ร้อน เพราะพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เป็นห้างขนาดใหญ่พอสมควรครับ แต่ไม่เท่ากับพวกเซนทรัล หรือเดอะมอล์ในบ้านเรา

มื้อนี้กินในห้าง ร้านในห้างครับ ผมสั่ง ทงคัตสึกับกุ้งเทมปุระ (เรียกงี้ปะ) มา

คือเอาจริงเมืองที่ผมไปเนี่ย กุ้งเป็นของขึ้นชื่อของเขามากนะ แต่ไม่รู้ทำไม อาจจะไม่เป็นร้านธรรมดาในห้าง กุ้งมันเละแทบจะรวมตัวกับแป้ง ตอนกัดนี้ไม่รู้สึกถึงกายหยาบกุ้งเลย... หรือคนญี่ปุ่นเขากินงี้...

กินเสร็จก็แยกย้าย พวกผมกับเพื่อนไป Game Center กัน ซึ่งก็มีแต่ตู้คีบตุ๊กตาเป็นหลัก

อันนี้เป็นประเด็นครับ! คือ ตู้คีบ ของที่นี่มันกวนตีนครับ ของทุกชิ้นมันวางล่อตาล่อใจมาก มันวางปาก ๆ ช่องที่ให้ของมันตกลงไปครับ มันจะมีฟิลลิ่งว่า เห้ย หยอดทีเดียวของตกแน่นอน ซึ่งมันเป็นจิตวิทยามากครับ สุดท้ายผมหยอดไปสิบกว่าเหรียญมันไม่มีตู้ไหนตกให้ผมเลย... แต่ทีมสิงค์โปร์ดันเล่นไงไม่รู้ ได้ตุ๊กตาตัวใหญ่มาหนึ่งตัว เทพจริง!

เล่นเสร็จ เดินซื้อของกันสักพัก ก็เดินกลับ ตอนเดินปลับก็มีประเด็นครับ เอาจริง ๆ คือมาทริปนี้มีประเด็นทั้งทริปแหละครับ

ตอนเดินกลับก็ให้คนเวียดนามที่มาเรียนญี่ปุ่นเขาพาเดิน แต่ไหงไม่รู้เขาเดินตาม Google Maps แต่แอพมันดันพาเดินเข้าบ้านคนครับ... คือเข้าบ้านคนจริง ๆ อะ มันตรงไปในซอยแคบ ๆ แอพบอกเดี๋ยวไปทะลุถนน แต่สรุปตันครับเป็นบ้านคนตั้งอยู่ แถมตอนเดินไปถึงเจ้าของบ้านก็ขับรถกลับบ้านมาพอดี...

สุดท้ายเดินวนออกมาแล้วหาเส้นทางใหม่ ก็ลัดเลาะไปตามซอยเล็ก ๆ เรื่อย ๆ เงียบมากจริง ๆ ครับญี่ปุ่น ในกรุงเทพผมว่าดึก ๆ แล้วยังมีรถวิ่ง คนเดินไปมา แต่ของประเทศเขาเดินดึก ๆ แล้วมันมีความรู้สึกปลอดภัย และก็น่าเดินด้วย คือพื้นถนนมันน่าเดินไรงี้ และก็วันนั้นอากาศเย็นด้วย

สุดท้ายก็กลับเข้าเส้นทางที่คุ้นเคย...

ก่อนเข้าที่พักก็ได้ไปแวะห้างอีกแห่งนิดหน่อย ไปดูของเผื่อซื้อฝากเพื่อน แต่เพื่อนดันได้เกมมาครับ ไพ่นกกระจอกแบบเป็นไพ่ สุดท้ายโดนมันบังคับให้เล่นด้วยก่อนนอน...

วันที่สาม (วันสุดท้ายของการแข่ง)

เหมือนเดิมครับ ตื่นเช้าหกโมงครึ่ง ไม่อาบน้ำเช่นเคย เปลี่ยนเสื้อลงไปกินข้าว เมนูอาหารที่ห้องอาหารวันนี้มีแตกต่างไปหน่อย

เออคุณ พูดถึงอาหารญี่ปุ่นแล้วผมสงสัยอย่างนึง มันมีอาหารอย่างนึงที่ผมตัก ในภาพบนคือชุดแป้งทอดกลม ๆ อะ ด้านในมันเป็นแป้ง คือผมสงสัยจุดประสงค์ของการเอาแป้งมาชุบแป้งทอดอีกที... แล้วก็มีเหมือนเอาอะไรสักอย่างเละ ๆ คล้าย ๆ เผือกบดหรืออะไรนี่แหละมาชุบแป้งทอดด้วย คือ กินแล้วเละเลี่ยนมาก

ส่วนอุด้งที่เห็นในภาพ กินแล้วแป้งมันเละมาก เละแบบเละจริง ๆ และท้ายสุด นัทโตะ ขึ้นชื่อมาก แค่คีบมันขึ้นมาก็กลัวแล้ว ยืด ๆ เหนียว ๆ เหมือนขึ้นรา (กลัวละจ้า นัทโตะ)

กินเสร็จก็เดินทางไปสถานที่แข่งเหมือนเดิม วันนี้รู้ทาง ผ่านมาแล้วหนึ่งวัน วันนี้เลยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ส่วนกำหนดการของวันนี้คือ รอประจำบูธรอกรรมการมาถามตอบ

กรรมการแบ่งเป็นหลายกลุ่ม จะคอยทยอย ๆ มาถามเรื่อย ๆ ซึ่งพีคสุดมีกลุ่มนึง ในกลุ่มนั้นกรรมการไม่มีใครเข้าใจภาษาอังกฤษเลย สุดท้ายต้องให้คนที่พูดญี่ปุ่นอังกฤษได้ของกลุ่มสิงค์โปร์ข้าง ๆ มาเป็นล่ามให้ ซึ่งก็ขอบคุณเพื่อนคนนี้มากครับ เขาคอยช่วยแปลเวลาคนมาถามแล้วพูดอังกฤษไม่ได้บ่อยมาก

ผ่านครึ่งเช้าไปแบบสบาย ๆ กรรมการถามตอบทั่วไป อาจจะเพราะกรรมการซัดมาแล้วกันตั้งแต่รอบเมื่อวานที่เป็นการนำเสนอ Presentation

ส่วนอาหารเที่ยงของวันนี้ครับ เป็นข้าวกล่องเหมือนเดิม แต่มีหลากหลายขึ้น แบ่งเป็นช่อง ๆ อร่อยดี ไม่สิ ต้องบอกว่าอร่อยมากเลย อยากสอยกลับมาไทยสักกล่อง แต่ยกเว้นไข่หวานที่รสชาติเหมือนไข่เจียว... เหมือนมากจริง ๆ นะคุณ จนผมเริ่มต้องมาทบทวนการใช้คำเรียก "ไข่หวาน" ของผมละ

ระหว่างกินข้าวกับอาจารย์อยู่นั้นก็มีทีมฮ่องกงมากินข้าวด้วยพอดี ซึ่งพอดีเขาแข่งหมวด Puzzle ก็เลยมีโอกาสคุยกันนิดหน่อย (อาจารย์คุย ผมโฟกัสอยู่แต่กับอาหาร... มันอร่อยเกิน) เขาก็ให้เกมที่เป็นโจทย์แข่งขันมาให้ลองทำ ซึ่งเขาบอกว่าอันนี้จัดอยู่ในเลเวลง่าย ไม่ยาก

โดย Puzzle คือเป็นจิ๊กซอว์แบบไม่มีรูปร่างตายตัว อย่างที่เห็นครับ ขอบดำ ๆ นั่นคือรอยตัด ทุกชิ้นจะแยกส่วนกันมา ต้องประกอบให้เป็นรูปร่างให้ได้ ซึ่งผมกับอาจารย์ใช้เวลารวมไป 30 นาที แต่... ทีมที่แข่งเขาทำแบบยากกว่านี้ใช้เวลาแค่ 10 นาที

ยอมใจ...

ตอนบ่ายก็เริ่มไม่มีอะไรละ สุดท้ายก็นั่งคุยเล่นกับทีมสิงค์โปร์ เพราะก่อนหน้านี้ผมแทบไม่ได้คุยเลย ทีมสิงค์โปร์ แต่จริง ๆ ทีมนี้มีเพื่อนมาด้วย มีทั้งอินโดนีเซีย และเวียดนาม

สุดท้ายก็ปิดการแข่งจ้า จบการแข่งแต่เพียงเท่านี้ เก็บบูธ เก็บโปสเตอร์ ในท้ายที่สุดก็ผ่านมาได้ถึงสองวันกับการต้องพูดทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ คือ สำหรับผมนี่ตื่นเต้นมาก พูดอิงไม่เก่ง แต่เพื่อนผมนี่คล่องมาก

เข้าสู่ช่วงการแจ้งผลการแข่งขันและรับรางวัล

ขอบอกเลยว่านี่เป็นการรับรางวัลที่แปลกใหม่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ โดยปกติในไทยเวลารับรางวัลเขาก็ให้ประธานงานหรือคนมอบรางวัลยืนกลางเวที แล้วค่อยเรียกชื่อให้เดินขึ้นไปรับรางวัล แล้วก็ลงมา แต่ของที่ญี่ปุ่น หรือเฉพาะงานนี้ไม่รู้นะครับ ประธานงานแขกอาวุโสก็นั่งอยู่บนเวทีกันหมด แล้วจะมีคนถือป้ายตำแหน่งรางวัลให้ แล้วพิธีกรจะประกาศชื่อรางวัล แล้วเราค่อยวิ่งขึ้นไปยืนหลังคนถือป้ายตำแหน่ง หลังจากนั้นพิธีกรค่อยเรียกอีกครั้งให้ออกไปรับรางวัลกับผู้มอบรางวัล

พอรีบเสร็จแล้วก็เดินกลับมายืนที่เดิม รอคนอื่นรับเสร็จ ละก็เข้าสู่ช่วง ถ่ายรูป อารมณ์ เปลี่ยนมายืนข้างหน้าคนถือป้ายตำแหน่งแทน แล้วใครใครถ่ายก็วิ่งมาถ่ายกันเองหน้าเวที

แต่ผมมีประเด็นอย่างนึง คือเวลาผู้มอบรางวัลมอบให้ทีมต่างชาติ เขาจะทำเสียงนิดนึง เสียง "อืม" ครับ คือถ้าเป็นทีมญี่ปุ่น เขาก็อ่านชื่อรางวัลแล้วก็พูดแสดงความยินดีให้ แต่ถ้าทีมต่างชาติเขาจะอ่านชื่อรางวัล แล้ว "อืม" เน้น ๆ หนัก ๆ ทีนึงแล้วค่อยพูดแสดงความยินดี อันนี้ไม่รู้ทำไมครับ

ซึ่งการแข่งขันก็จบลงเพียงเท่านี้จ้า สองวันกับการนำเสนอผลงาน และพบปะผลงานเทพ ๆ ของทีมอื่น ๆ แต่พอจบการแข่งแล้วยังไม่ถือว่าจบทริป ทางญี่ปุ่นพาไปเลี้ยงอาหารที่ห้องอาหารในโรงแรมต่อครับ ไฮโซมาก

โรงแรมห่างงไม่มากจากที่แข่งขัน เขาเลยพาเดินไปเรื่อย ๆ จนไปถึงโรงแรม ทีนี้ก็จัดให้นั่งแยกกัน ทีมผมได้นั่งกับคนคุ้นเคย ทีมสิงค์โปร์และคนจากมหาลัยโทบะ (คนที่ช่วยแปลอังกฤษญี่ปุ่นให้) ครับ

อาหารก็ค่อนข้างแหวกดี ส่วนใหญ่เป็นของที่ไม่เคยกินมาก่อน พร้อมธรรมเนียมที่ไม่เคยเจอ เช่น ห้ามดื่มห้ามกินอะไรเลยก่อนประธานในงานจะกล่าวพูดเสร็จ

เอ้า เชียรส์~

อาหารอร่อย ๆ ก็มีแซลม่อนกับพายฝักทอง และชีส จานนี้อร่อยจริง ๆ อร่อยมากครับ

ละก็มีพวกเนื้อย่างเสิร์ฟกับมันฝรั่งทอด อันนี้ผมกินเนื้อแล้วมันดิบไป เลยขอบาย

และก็มีเมนูอื่นอีกที่ผมไม่ได้ถ่ายรูป เช่น ปลาดิบ ซึ่งมันไม่ใช่ปลาแบบที่อยู่บนหน้าซูชินะ และผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่ามันคืออะไร

ระหว่างกินทางญี่ปุ่นก็จัดกิจกรรมให้เล่นสนุก ๆ เช่นใช้ช้อนถือลูกปิงปองเดินอ้อมเส้น หรือให้เดาว่าจานไหนเป็นหมูเกรดดี

ถือว่าเป็นงานเลี้ยงที่สนุกครับ ตอนกลับได้คุยกับเพื่อนต่างชาติเยอะขึ้น อ่อ และพอพูดถึงประเทศไทย ที่ทุกคนพูดถึงก่อนเลยคือ Ladyboy ครับ....

พอกลับถึงที่พัก ก็ชวนครับ คุยกันว่าวันสุดท้ายละ ไป Game Center ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน พอดีผมดูไว้ใน Google maps แต่แรก ก็เปิดตี้มาได้ผม เพื่อนผม และคนสิงค์โปร์อีกสองคน

มาถึงก็พบว่า Game Center มันใหญ่มากครับ ใหญ่จริงจัง เป็นอาคารหลังนึงเลย

สุดยอดแห่งเกมเซ็นเตอร์ ตู้คีบนับสิบ ปาจิงโกะ แล้วอื่น ๆ อีกมากมาย มีพวก MaiMai ด้วยแต่เห็นคนเทพ ๆ เขาเล่นกัน ผมกากมาก ไม่กล้าไปเล่น อายเขา (ฮา)

เพื่อนกับผมนี่โดนไปกันคนละ 5,000 เยน รวมค่าขนมไปด้วยนิดหน่อย มีตู้กดขายไอติมอัตโนมัติในเกมเซ็นเตอร์ครับ ลองกดมากินอร่อยดี เป็นไอศกรีมวะนิลาไส้ถั่วแดง

เล่นเสร็จก็แวะไปซื้อของฝากกันนิดหน่อยละเดินกลับที่พัก

วันที่สี่ (วันสุดท้าย วันเที่ยว)

วันนี้ตื่นเท่าเดิมครับ แต่ออกช้ากว่าเดิม 20 นาที เก็บกระเป๋าแล้วไปเช็คเอ้าต์ กินข้าวแล้วขึ้นรถเตรียมเดินทาง วันนี้เขาจะพาไปเที่ยวที่สำคัญ ๆ ต่าง ๆ แล้วพาไปส่งถึงนาโกย่าเลยครับ

ที่แรกคือศาลเจ้า Ise เห็นเขาบอกว่าเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แล้วมีส่วนลับที่ห้ามคนธรรมดาเข้าไปด้วย ทางเดินเข้าคือธรรมชาติมากครับ สวยงาม เย็นมากด้วย วันนี้อุณหภูมิตกลงมาเหลือ 16 องศาเซลเซียส

แม่น้ำลำธารบ้านเขาใสจริงจังมาก เขาบอกว่าเหนือไปทางต้นน้ำไม่มีบ้านเรือนหรืออะไรตั้งอยู่เลย เพราะงั้นสะอาดแน่นอน

ส่วนภาพในวัดแทบไม่มีครับ เขาไม่ให้ถ่าย อ่อ แต่ผมได้ลองล้างมือ หรือชำระล้างสิ่งสกปรก หรือแล้วแต่เขาจะเรียกแบบที่เห็นกันในอนิเมะด้วย ที่ใช้กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำมาล้าง อันที่จริงเขาว่ามันมีวิธีล้างของมันด้วยนะครับ

ล้างมือซ้าย มือขวา แตะปาก น่าจะประมาณนี้ครับเท่าที่จำได้

อันนี้เดินผ่านบ่อปลาสุภาพครับ ปลาคาร์ฟ /ตึ่งโป๊ะ

อันนี้เดินขากลับครับ ถ่ายจากบนสะพาน

หลังจากออกมาจากวัด เขาก็ปล่อยให้เดินตลาดต่อ ซึ่งมันก็ตั้งอยู่ข้าง ๆ ทางเข้าวัดนั่นแหละ แต่อันที่จริงผมไม่รู้ว่ามันควรเรียกว่าตลาดไหม เอาจริง ๆ ก็เหมือนพวกตลาดอัมพวาไรงี้ ขายของที่ระลึก ของกินทั่วไปไรงี้

ตอนเดินไปกิน ผมสอยไอติมมาอันนึง ไม่ได้ถ่ายรูปมา ตอนสั่งก็เห็นมันเหมือนพวกไอติมโคน KFC ไรงี้เลยลองสั่ง ตอนชี้ ๆ พนักงานเขาก็มองหน้าแล้วบอก "โปเตโต้ โปเตโต้" ผมก็แบบ เออ ๆ อะไรไม่รู้เอามาเหอะ เดี๋ยวลองเอง

สรุป พอกินไปก็เข้าใจ มันน่าจะเป็นไอติมมันฝรั่งครับ เพราะรสชาติไม่เหมือนพวกไอติโคน KFC มันออกรสหวานแปลก ๆ หน่อย ๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

ตลาดค่อนข้างใหญ่ครับ แต่ไปสาย ๆ วันจันทร์ ร้านเลยเปิดไม่หมด แถมทางญี่ปุ่นเขาให้เวลาเดินแค่ชั่วโมงเดียว เลยรีบ ๆ เดินละต้องรีบกลับขึ้นรถ ไม่กล้าเลทกลัวโดนเขาด่าว่าไม่ตรงเวลา

หลังจากกลับมาจากเดินตลาด เป้าหมายต่อไปคือกินข้าวเที่ยงครับ ก็เดินทางระยะนึง พอได้หลับสักงีบ ตื่นมาอีกทีคุณก็จะพบว่าตัวเองอยู่ในซอยเล็ก ๆ ตามฉบับหมู่บ้านริมทะเล อันพบเห็นได้ทั่วไปตามสัตหีบ อีกสักพักก็ถึงริมชายหาด

มานั่งกินอาหารทะเลครับ ตามฉบับสไตล์ของเขา คือ มานั่งกินอาหารคุณป้าทำ... คุณป้าทำนี่แบบไม่ใช่แค่ชื่อร้านนะ แต่ป้าแกมานั่งปิ้งให้ดูแล้วเสิร์ฟให้กินเลยจริง ๆ เสิร์ฟแบบคีบจากเตาที่ย่างอยู่นั่นมาใส่จานให้

อาหารทะเล ถามว่าสดไหม? ผมคิดว่าแต่ละอย่างที่ผมกิน เมื่อเช้ามันน่าจะยังว่ายอยู่ในทะเลอะ เห็นป้า ๆ แกบอกว่าทุกวันจะลงทะเลไปจับกันตอนเช้า ๆ เลย

อาหารก็เป็นข้าวคลุกไข่หอยเม่น สาหร่าย ซุปญี่ปุ่น น้ำชา ปลาย่าง หอย และปลาหมึกครับ

พวกของอย่างแรก ๆ ที่เสิร์ฟมาก็เฉย ๆ พอกินได้ครับ แต่แปลก ๆ นิดหน่อย เพราะปกติคนไทยเวลากินอาหารทะเลต้องมีน้ำจิ้มซีฟู้ดเปรี้ยว ๆ นี่กำลังดีเลย แต่อันนี้เขากินเพียว ๆ ไม่แคร์น้ำจิ้ม /อยากจะขอวาซาบิเขามาบีบมะนาวไรงี้มาก

แต่ของท้าย ๆ มาเริ่มเครียดครับ คือ หอย... หอยอะไรไม่รู้ คล้าย ๆ หอยสังข์

คือไม่กล้ากินครับ น่ากลัวมาก กัดไปนิด ๆ แล้วรู้สึกว่าขม เลยขอบาย น่ากลัว ตอนนั้นนั่งคิดเลยว่าถ้าเขาถามว่าทำไมไม่กิน เราจะตอบเขากลับไปไงไม่ให้เสียน้ำใจ แต่พอหันไปหาโต๊ะข้าง ๆ ที่เป็นทีมต่างชาติเหมือนเรา ทุกคนก็ทำแบบเราครับ... ไม่กล้ากิน

ภาพชัด ๆ อีกภาพ

สุดท้ายก็วางหอยทิ้งไว้แล้วขอบาย ครับ

ต่อจากกินข้าวเที่ยงฝีมือคุณป้าปรุง เป้าหมายต่อไปในการเดินทาง คือ การไปโดนวัฒนธรรมการชงชาแบบญี่ปุ่นครับ โดยเขาจัดให้เราไปเรียนกับพระในวัด แต่วัดพุทธในญี่ปุ่นเขานี่ไม่เหมือนวัดไทยที่ใหญ่ ๆ นะครับ วัดที่ผมไปจะเล็ก ๆ สงบ ๆ

เอาจริงเหมือนมีพระอยู่คนเดียว เงียบ ๆ อารมณ์เหมือนในอนิเมะที่วัดเป็นธุรกิจครอบครัวไรงั้น (เอาจริงตอนเดินตลาดก็เจอพระมาขอบริจาคด้วย แต่คนน่าจะให้น้อย ถ้าเทียบกับไทย)

พิธีชงชาของเขานี่ซับซ้อนมากครับ คือ ไม่ได้แบบชง ๆ ดื่ม ๆ จบ ๆ ขอบคุณมากกลับละน้า ไรแบบนั้น แต่ละเอียดยังการจับแก้ว การหมุนแก้ว ต้องพูดคำไหนก่อนกินหลังกิน

พระเป็นคนอธิบายครับ อธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วล่ามแปลให้อีกที คือ พระอธิบายรัวมากจริง ๆ อารมณ์โดนเทศน์ไปในตัว ซึ่งเอาจริงก็คือโดนเทศน์ครับ

การชงชาของญี่ปุ่นที่ผมไปโดนมาคือ เขาไม่ชงแล้วเท ๆ ให้ทุกคนทีเดียวครับ เขา (เจ้าบ้าน) จะบรรจงชงแยกให้ทีละคน แล้วพอเรา (คนดื่ม) ได้รับมาก็ต้องหันไปหาคนที่นั่งต่อจากเราแล้วบอกว่า "ขอก่อนนะ" ทางคนที่นั่งต่อจากเราก็จะตอบว่า "เชิญ ๆ" แล้วเราก็หันไปขอบคุณเจ้าบ้านที่ชงให้ แล้วค่อยดื่ม

การดื่มนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะยกดื่มได้เลย ต้องหมุนแก้ว 45 องศาไปทางขวาสองรอบก่อน แล้วค่อยยกซด ตอนดิ่มต้องดื่มให้หมดห้ามเหลือ ไม่ว่าจะขมแค่ไหน

พอดื่มเสร็จ เจ้าบ้านจะชงแก้วใหม่เสร็จพอดี (อารมณ์ประมาณกะเวลามาดีแล้ว) เจ้าบ้านจะยกแก้วใหม่มาให้ เขาจะถามเราว่าอิ่มไหม ถ้าพอแล้วเขาจะให้คนต่อไป แต่ถ้าไม่ก็ให้เราดื่มต่อ ผมก็ต้องบอกว่าพอครับ เกรงใจคนข้าง ๆ ซึ่งเป็นอาจารย์ผม (ฮา) แล้วเราก็หันไปบอกเจ้าบ้านว่าชาอร่อยนะ อะไรงี้

เอาจริง ๆ คือจำไม่ได้หมดครบถ้วนทุกประการครับ เพราะตอนเขาพูดเป็นอังกฤษมา ผมก็อังกฤษไม่แข็ง แรก ๆ ก็ฟังรู้เรื่อง สักพักเริ่มงงครับ พอมันงงปุป ที่เหลือจะเละเลย สุดท้ายแทบไม่เข้าใจ (ฮา)

พระเทศน์ว่าการกินชาแบบนี้จะทำให้เราใจเย็น สงบ และกระตุ้นให้เราซาบซึ้งในตัวผู้อื่น ทั้งคนที่ทำให้เรากิน และคนที่รอให้เรากินเสร็จ เป็นต้น (ซับซ้อนและดูมีอะไร ๆ มากครับ)

พอดื่มชาเสร็จ เป้าหมายต่อไปในการเดินทางคือ พิพิฒภัณฑ์รถไฟ ซึ่งต้องนั่งรถไปไกลพอสมควร หลับยาวเลยครับอันนี้ zzZZ

ประมาณเกือบสองชั่วโมงเห็นจะได้ครับ ก็มาถึง พิพิฒภัณฑ์รถไฟ

ด้านในก็เป็นประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรถไฟ โดนที่นี่ดีหน่อย เพราะรับนักท่องเที่ยว พวกป้ายอะไรต่าง ๆ เลยมีภาษาอังกฤษ และก็มีเครื่องบรรยายให้ฟังด้วย บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เราเดินไปตรงไหน เราก็กดเลือกส่วนที่เรายืนอยู่ มันก็จะเล่นเสียงบรรยายให้เรา

ตัวเครื่องน่าจะเป็นแค่ไอโฟนใส่เคส แล้วล็อกแอพไว้ หรือไม่ก็ล็อกปุ่มกด กดไปหน้าโฮมไม่ได้

ส่วนใหญ่จะเป็นประวัติและข้อมูลของพวกรถไฟความเร็วสูง รถไฟหัวกระสุน เช่น จัดการไงไม่ให้รถไฟวิ่งเร็วจนชนตูดกัน หรือเกิดแผ่นดินไหวแล้วรถไฟรู้ได้ไงว่าต้องหยุดก่อนแผ่นดินไหวมาถึง

ส่วนที่ผมชอบที่สุดคือห้องรถไฟแม่เหล็ก คือ รู้แค่ว่ารถไฟแม่เหล็กใช้แม่เหล็กดันให้มันวิ่งได้ แต่ไม่รู้เลยว่ารายละเอียดเป็นไง มาครั้งนี้รู้หมดเลยว่าทำงานวิ่ง ตั้งแต่เริ่มวิ่งจากต้นทาง ไปยันปลายทาง /เออ พึ่งรู้ครับว่ารถไฟแม่เหล็กมีล้อ แต่ล้อจะถูกยกขึ้นเมื่อรถไฟวิ่งได้ความเร็วหนึ่ง แล้วรถไฟมันจะลอยเหนือพื้นเอง

ห้องรถไฟแม่เหล็กมีให้นั่งรถไฟจำลองด้วยนะครับ จำลองตั้งแต่ความรู้สึกเวลารถไฟออกจากสถานี จนถึงปลายทาง ตอนเริ่มวิ่งรถจะสั่น ๆ หน่อยเพราะวิ่งเร็วมากและล้อยังไม่ถูกยก พอวิ่งไปสักพักล้อจะถูกยก รถไฟจะนิ่มมาก เพราะลอยอยู่กลางอากาศ (ลอยไม่สูงมากนะ แต่ไม่รู้สูงแค่ไหน)

แล้วส่วนตรงพื้นที่โล่งหลักก็มีขบวนรถไฟต่าง ๆ มาโชว์ให้ดู แบบรถไฟจริง ๆ เลยมาโชว์ให้ดู

จบ สุดท้ายก็เดินกลับมาจุดนัดพบ ซื้อของฝากแล้วขึ้นรถบัสเตรียมไปกินข้าวเย็น ข้าวเย็นรอบนี้เขาพาไปเลี้ยงที่โรงแรมในนาโกย่าเลย ได้เดินตัวเมืองครั้งแรก เมืองเขาน่าเดินมากอันนี้ ยอมใจเลย

มื้อเย็นครั้งสุดท้ายนี้ เป็นอาหารจีน (มาญี่ปุ่น แต่พามากินอาหารจีน นี่ผมคิดว่าแปลก ๆ มาก...) รอบนี้จัดโต๊ะแยก ได้นั่งกับทีมมาเลเซียที่ตอนแรกไม่ค่อยได้คุยเลย

เบียร์ในภาพผมไม่ได้กินครับ เขาแค่มาเสิร์ฟ แต่ความจริงเขาให้กินเฉพาะอาจารย์เท่านั้น

มื้อสุดท้ายก็กินกันไม่เยอะ หนักคุยกันส่งลา เพราะทีมผมต้องนั่งเครื่องบินกลับไทยคืนนี้ สุดท้ายก็แลกเฟสบุ้คกันมา แล้วก็พูดคุยส่งท้ายกิน สนุกดีครับ เป็นความทรงจำดี ๆ ครั้งนึงที่มาแข่งอะไรแบบนี้ สุดท้ายก็ต้องลาแล้วรีบไปขึ้นรถไฟเพื่อไปสนามบิน

มาสถานีรถไฟอีกครั้ง

นั่งตรงยาวจากโรงแรมที่กินข้าวไปสู่สนามบิน Chubu เพื่อบินกลับแผ่นดินไทย

รอเช็คอินครับ แถวยาวมาก เทียบกับขามา (แต่สรุปตอนขึ้นเครื่อง คนน้อยกว่าขามามาก ที่นั่งแถวผมมีแค่ผมกับเพื่อน ว่างไปที่นึง)

ลาก่อนเจแปน บนเครื่องก็นอนไปนิดหน่อย เล่นเกมบ้าง แล้วก็ดูหนัง รู้ไหมครับดูอะไร... ผมดู Space odyssey 2001 ครับ แรงกว่ายานอนหลับอีกครับ ดูไปไม่นานก็หลับเลย

ตื่นมาอีกทีคือเริ่มเข้าไทย เขาปลุกมาเพื่อเสิร์ฟอาหารเช้า... เช้าตอนตีสามไทย

อาหารก็เฉย ๆ ไม่ต้องรีวิวหรอกเนาะ... ก็สั่งแซลม่อนกับข้าว ก็กิน ๆ พออิ่มครับ /เออ ชาบนเครื่องบินจืดมาก ชาฝรั่งอะ จืดแบบนึกว่ากินน้ำร้อนเปล่า ๆ

ก้อนกลม ๆ บนซ้ายนี่เละมากครับ กินเข้าไปเกือบคายออกมา... แต่รวม ๆ ก็กินได้ ไม่ได้แย่

สุดท้ายเครื่องก็ลงจอดที่สุวรรณภูมิ ถึงก่อนเวลาซะด้วย แหม่

สวัสดี ประเทศไทย ตอนตีสี่กว่า ๆ

ครับ สุดท้ายก็จบเพียงเท่านี้ ทริปการเดินทางไปแข่งวิชาการครั้งแรกที่ต่างแดน บล็อกนี้ถือว่าเป็นบล็อกที่ยาวที่สุดรองมาจากบล็อกเขาชนไก่ซึ่งอันนั้นแบ่งเป็น 6 ภาคด้วยกัน ยาวจริง อันนี้เขียนรวมในบทความเดียวไปเลย แต่ใช้เวลาเขียนประมาณสามวันครับ... ตอนเขียนย่อหน้านี้คือเที่ยงคืนครึ่งครับ zzZZ

หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ เผื่อเผลอไปพาดพิงใครโดยผมไม่รู้ตัว ส่วนของบทความนี้ก็ขอลาก่อนครับ จะนอนละครับ สวัสดีครับ

ป.ล. อ่อเกือบลืมครับ ขาดไปได้ไง ภาพรวมของทีมนานาชาติที่ร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ได้เพื่อนมาหลายคนครับ สนุกมาก ๆ ได้เพื่อนใหม่ต่างแดน ก็ถ้ามีโอกาสก็อยากเจอกันอีกสักครั้งครับ กระจาย ๆ กันอยู่ในอาเซียนนี่แหละ

ป.ล.ล. เกือบลืมอีกภาพ!! ทีมผมครับ (ฮา) ผมและเพื่อนกับอาจารย์ที่ปรึกษา

ขอบคุณภาพบางส่วนจากอาจารย์ที่ปรึกษาผม และเพื่อนร่วมทีมของผมนะครับ ไม่ได้ถ่ายเองคนเดียวหมด

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับโปรเจ็กต์ที่ผมและเพื่อนทำไปแข่งครับ อ่านได้ตามลิงค์นี้เลย >> Cloudian.in.th/iamhere

ท้ายที่สุด ขอขอบคุณฟิวส์ เพื่อนสนิทสูงสุดและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คนแรกและคนเดียวในชีวิตของผม (เพื่อนสนิทนะไม่ใช่แฟน) ให้คำปรึกษาทุกอย่างตั้งแต่แก้แกรมม่าภาษาอังกฤษ ให้ความเห็นเรื่องดีไซน์ และอื่น ๆ อีกมากมายมากเกินกว่าจะนึกออก ขอบพระคุณมากครับ ไว้มีโอกาสจะเลี้ยงข้าวนะ