ครึ่งปีกับชีวิตติดเกาะญี่ปุ่น Part 1

สวัสดีครับ บล็อกนี้เขียนเล่าความเป็นอยู่ในแดนปลาดิบ ณ ฮอกไกโด ขณะมาทำวิจัย 4 เดือนที่ม.ฮอกไกโดครับ อนึ่ง บล็อกนี้เขียนระหว่างรันงานอยู่ เผื่อที่ปรึกษามาอ่าน ได้บอกได้ว่า ไม่ได้ว่างครับ แต่ทำอย่างอื่นไม่ได้ (ฮา)

ความจริงอยู่นับรวม ๆ ก็อยู่ญี่ปุ่นมาสามเดือนแล้ว รวมตั้งแต่แลกเปลี่ยน Sendai แล้วกลับไทยหนึ่งอาทิตย์แล้วมา Hokkaido ต่อ ซึ่งก็เริ่มคุ้น ๆ กับญี่ปุ่นแล้ว ถึงแม้จะยังมีปัญหากับพนักงานร้านสะดวกซื้อทุกครั้งเวลาพนักงานถามว่า เอาถุงไหม... ฟังไม่ค่อยออก

งานวิจัยทำอะไร (ข้ามไปได้ ถ้าไม่อยากอ่านเรื่องเทคนิคครับ)

งานวิจัยมาอยู่นี่ทำเรื่อง text detection บนภาพ manga ครับ ถึงแม้ Google จะมี deep learning ขั้นเทพที่ทำ text detection ได้โหดระดับไม่มีทางสู้ได้แล้ว แต่งานผมเป็นการหาวิธีที่ลดไม่ต้องใช้ Deep learning เพื่อช่วยลดเรื่อง computational cost ครับ

ทำไมไม่ใช้ Text detection algorithm ทั่วไปที่มีอยู่? มีคนถามแน่ ๆ ที่ไม่ใช้เพราะ เราตัดเรื่อง Deep learning ไปแล้ว ก็จะเหลือพวกสาย image processing ที่เอาเทคนิคด้านนี้มาตรวจหาข้อความบนภาพ กับพวก Machine learning สายอื่น ๆ แต่ปัญหาคือ วิธีส่วนใหญ่ที่ใช้กับงาน Text detection จะทำเพื่อใช้กับภาพถ่ายครับ ซึ่งเอกลักษณ์ของอักษรและวัตถุในภาพโดยรอบของภาพถ่ายและภาพวาดต่างกันมาก ทำให้บางครั้งเราเอาวิธีที่เคยใช้กับภาพถ่ายมาใช้กับภาพการ์ตูนตรง ๆ ไม่ได้ครับ จึงต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติม

รายละเอียดเพิ่มเติมรออ่านในเปเปอร์นะครับ ไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้

Sendai, Miyagi

กลับมาที่เนื้อเรื่องแนวชีวิตประจำวัน เนื่องจากผมอยู่มาสองที่ สองเมือง สองจังหวัด ที่แรกคือ Sendai, Miyagi และปัจจุบันคือ Sapporo, Hokkaido เป็นเวลา 1 เดือน 10 วัน และ 4 เดือน 11 วัน ตามละดับ (แต่ฮอกไกโดพึ่งอยู่ได้สองเดือนครับ) จึงขอเล่าแยกละกัน บล็อกนี้เป็น Sendai ก่อน อีกบล็อกค่อยฮอกไกโด ไม่งั้นจะยาวเกินไป และตอนนี้โค้ดที่รันก็ใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวต้องทำงานต่อ...

Sendai เป็นเมืองนอกสายตาคนไทยพอสมควรเห็นจะได้ คนไทยเที่ยวดูจะมีแค่ไปฮอกไกโด โตเกียวกันหลัก ๆ เมืองนี้อยู่แล้วไม่ค่อยเจอคนไทย ถ้าไม่นับว่าอยู่กับกลุ่มพี่ป.โท ป.เอกจาก Tohoku University และไปแวะเที่ยวงานอาหารไทยมา

ผมไปแลกเปลี่ยนที่ National Institute of Technology,Sendai College (Hirose) ซึ่งที่นี่ไม่ใช่มหาลัย และก็ไม่ใช่โรงเรียนมัธยม เป็นคล้าย ๆ โรงเรียนเทคนิคในไทย คือ มีตั้งแต่เทียบเท่าม.ปลาย จนถึง เทียบเท่าปีสองมหาลัย แต่ถ้าเรียนจบแล้วสามารโอนหน่วยกิตเรียบเทียบต่อปีสามมหาลัยอื่นเพื่อเอาปริญญาได้เหมือนกัน

สถาบันที่ผมอยู่ ห่างจากตัวเมือง Sendai พอสมควร อยู่ห่างจากสถานี Ayashi เดินเท้า 15 นาที แต่ข้อดีคือเมืองเงียบสงบมาก ถูกใจมาก คือหลังสถาบันเป็นแม่น้ำ ภูเขา ป่า ขนาดมีรุ่นพี่บางคนที่เคยมาบอกว่าบางปีมีประกาศระวังหมีออกมา

ถือว่าทริปนี้เป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งที่สอง และเป็นครั้งแรกที่ต้องต่อเครื่องเลย ซึ่งการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกผมเขียนไว้ในบล็อกก่อนหน้าแล้ว ก็ไปอ่านกันได้ครับ บอกเล่าเก้าสิบ ประสบการณ์แข่งโปรเจ็กต์ที่แดนปลาดิบ

ภาพรวมสถาบันที่ผมมาอยู่ก็ไม่รู้จะอธิบายไงดี สะอาดตา โล่ง สงบ อากาศดี และส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้... ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไว้แต่แรกแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร

บางวันที่อยู่ฝนก็ตกปรอย ๆ ทั้งวัน ตกปรอย ๆ ของที่นี่ให้จินตนาการละอองน้ำจากสเปรย์ฟ้อกกี้รีดผ้าครับ แบบนั้นเลย กางร่มแทบไม่ช่วย เพราะมันลอยเข้าใต้ร่มอยู่ดี... ซึ่งวันที่ฝนตกวิวจากห้องก็แบบภาพด้านบน

ห้องนอน ก็โล่ง ๆ ไม่มีอะไรครับ มีตู้ โต๊ะ เตียง ห้องอาบน้ำ และ ห้องครัวแยกออกไป ห้องอาบน้ำเป็นฝักบัวแยกครับ ไม่ได้อาบน้ำรวม

ห้องทำงาน ให้แบบนี้ มีคอมมีทีวี แอร์ เน็ตครบครับ แต่คอมสองเครื่องซ้ายมีในภาพ ไม่เคยได้ใช้...

อาหารการกิน

อาหารนี่แบ่งได้สองสามแบบตามใจผม คือ กินในโรงอาหารหอพัก, กินด้านนอกที่ไม่ใช่สะดวกซื้อ, และกินอาหารสะดวกซื้อเช่นข้าวกล่อง

โรงอาหารหอพัก

ความจริงคือในสถาบันมีโรงอาหารหอพัก และโรงอาหารหลัก แต่โรงอาหารหลักขี้เกียจไปกิน ไม่ค่อยได้ไปครับ คนเยอะเกินบางที

ภาพด้านบนคืออาหารโรงอาหารหอพักครับ อาหารตามยถากรรม อย่าไปคาดหวังอะไรกับมันมากครับ แต่เขาบอกอาหารได้สารอาหารครบถ้วน ถึงดูขาด ๆ ก็เถอะ

โรงอาหารหอพักถ้าจะกินต้องส่งใบตามภาพด้านบนครับ จะมีให้ก่อนวันศุกร์เพื่อเลือกเมนูอาหารที่จะกินสัปดาห์หน้า ก็อ่าน ๆ แล้วเลือกครับ บางช่องคำอธิบายไม่ช่วยอะไรเลย... ก่อนมาญี่ปุ่นนี่คิดว่าเมนูอร่อยสุดคือปลา แต่ปลานี่มันกินยากสุดละ กลายเป็นเมนูไก่ ๆ ทั้งหลายอร่อยสุดครับ

ปัญหาคือ คุณวงแล้วส่งแล้วห้ามยกเลิก ชีวิตต้องตามแผนมาก แพลนอาทิตย์หน้า ทุกวันต้องกินข้าวตาม เพราะเงินคิดตามนี้ ผมนี่พลาดไม่ได้กินบ่อยมาก เช่น อาจารย์ชวนไปกินลิ้นวัว (อันนี้ลิ้นวัวเทพ ยอมทิ้งอาหารโรงอาหาร) และถ้ามื้อไหนไม่วงแต่ไปเนียนกินก็ไม่ได้ครับ

อาหารนอกสถาบัน

อาหารด้านนอกที่กินซ้ำกันสองรอบคงเป็น ซูชิ ครับ ของที่นี่ถึงแแม้เป็นแค่จานเวียนธรรมดาก็อร่อยมาก สด อร่อย ไม่คาว และ ราคาไม่แพงมาก เทียบกับราคาอาหารต่อมื้อเฉลี่ยในญี่ปุ่น

สองภาพด้านบนเป็น กิวตัน ครับ แปลไทยก็ ลิ้นวัว ซึ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมือง Sendai และอร่อยมาก! สองภาพ กินสองร้านครับ สมนาคุณโดยพี่ @nunimadao และที่ปรึกษาผมเอง ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ครับ แนะนำใครไป Sendai ให้ไปลองกินครับ

และสุดท้ายที่น่าจะตลกสุดคือหัวข้ออาหารในเมือง Sendai คือ อาหารไทยครับ มาไกลมาก มากินอาหารไทย

งานนี้เป็นเทสกาลประเทศไทย ก็มีขายทุกอย่างที่มันไทยอ่ะครับ

อ่อ แล้วอย่างสุดท้าย เด็ดสุด ได้ไปกิน Jiro Ramen ครับ ถ้าไปลองหาในเน็ตดูจะรู้ว่าร้านนี้ระดับตำนาน ให้เยอะมาก เยอะแบบเยอะจริง ๆ ชามเดียวกินแล้วอิ่มจนพรุ่งนี้ คนต่อแถวรอเป็นชั่วโมงแหน่ะครับ อันนี้พี่จากโตโฮคุพาผมไปลอง ระหว่างกินนี่อยากจะร้องไห้... กินไม่หมด แถมในเน็ตและรอบข้างก็บอกว่า มีคนโดนเจ้าของร้านว่าด้วยถ้ากินไม่หมด สถานการณ์ตึงเครียดมากตอนนั้น

สุดท้ายต้องหันไปบอกพี่ที่มาด้วยกัน "ไม่ไหวแล้วครับ..." เลยยอมออกจากร้าน ก่อนออกนี่คือเหลือครึ่งชาม พนักงานมองหน้าด้วย แล้วถาม "Give up?" เราในฐานะไกจินต้องทำหน้าเจี๋ยมเจี่ยมพยักหน้าตอบกลับว่าใช่ พนักงานก็ตอบมา "OK" แล้วยิ้ม ๆ

ราเมงบรรยากาศตึงเครียดดีครับ แนะนำไปลอง มีหลายสาขาในประเทศญี่ปุ่น

อ่อ แล้วไม่ควรเล่นมือถือระหว่างกิน เห็นพี่คนนึงเล่าว่าเคยโดนเจ้าของร้านถามว่า "จะกินหรือจะเล่น" เพราะเล่นมือถือตอนกิน น่ากลัวจริง ๆ ...

อาหารร้านสะดวกซื้อ

เวลามาญี่ปุ่นแล้วบอกคนอื่นว่าวัน ๆ กินแต่ข้าวกล่องซุปเปอร์หรือร้านสะดวกซื้อ มันฟังดูกากมากนะ แบบ "อะไรเนี่ย มาญี่ปุ่นทั้งที่กินแต่ข้าวกล่องเซเว่น" ซึ่งความจริงคือ ข้าวกล่องมันเทพมากครับ คุณมาญี่ปุ่น ผมต้องขอแนะนำให้คุณกินข้าวกล่องตามสะดวกซื้อมาก อร่อยกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยบางที่อีก สะดวก ไม่แพงด้วย!

แต่ตอนอยู่เซนไดผมไม่ค่อยได้กินข้าวกล่อง มากินตอนอยู่ฮอกไกโดนี่แหละ เพราะอยู่เซนไดกินข้าวโรงอาหารหอพักแทน

ส่วนมาม่า กินบ่อยพอสมควร ถ้านับว่ามาม่าเป็นอาหารร้านสะดวกซื้อนะครับ แต่ส่วนใหญ่ผมกดมาม่าคัพจากตู้กดเอา ใช่ครับ ตู้กดมาม่า... เหมือนตู้กดน้ำบ้านเรา แต่มันกดได้มาม่าคัพพร้อมตะเกียบ แต่ต้องไปหาน้ำร้อนใส่เองนะ

ป.ล. ด้านหลังเรื่อง Yuru Camp ครับ เมะสนุกนะครับ ไปหามาดูกันได้

เรื่องเที่ยว

ผมไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน เพราะหัวปั่นกับโปรเจคที่ต้องเตรียมเอามาทำต่อที่ม.ฮอกไกโดครับ เลยได้เที่ยวไม่มาก แต่ได้ไปค้างคืนกับพวกพี่ในมหาลัยโตโฮคุอันนั้นสนุกสุดละครับ (ฮา)

Akiu

มีได้ไป Akiu เป็นเมืองเล็ก ๆ ทางใต้ของ Ayashi อีกที มีน้ำตก ออนเซ็น และ ไร่ไวน์อย่างที่เห็น แต่เมืองเงียบพอควรครับ ยิ่งวันนั้นหนาวมากด้วย

ซึ่งความนรกคือผมเดินเล่นนาน เลยไม่รีบกลับรถรอบตอนบ่ายพร้อมเพื่อน จะเดินเล่นรอบเมืองคนเดียวต่อ สรุป คือตอนแรกจะไปแช่ออนเซ็น ก็กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าไปคนเดียว สุดท้ายไม่ได้แช่ ต้องเดินเล่นคนเดียวกลางเมืองอากาศ 9 องศา โดยที่กางเกงแบบหลวม ๆ เสื้อยืด กับ เสื้อกันหนาวตัวเดียว

ตอนนั่งรอรถเมล์กลับ Ayashi คือช่วงที่ทรมานมากครับ... จังหวะที่รถเมล์วิ่งมาตอนหกโมงกว่า ๆ คือเหมือนราชรถจากสววรค์มาโปรดมาก...

Nikka Whisky

โรงเหล้าคนดำ /ผิด

โรงกลั่นเหล้าวิสกี้ครับ ทั้งประเทศญี่ปุ่นมีโรงกลั่นเหล้าวิสกี้ของญี่ปุ่นเองสองโรงเท่านั้น หนึ่งในนั้นอยู่ที่ Sendai ครับ ชื่อ Nikka Whisky

ค่าเข้าฟรี นั่งรถไฟจาก Ayashi มาสองสถานีครับ แล้วมีรถของโรงเหล้าพอไปเลย ฟรีอีกเช่นกันครับ ด้านในโรงกลั่นก็มีบริการพาทัวร์ ซึ่งแน่นอนครับ ทัวร์ภาษาญี่ปุ่น... แต่มีสิ่งที่ทดแทนได้อย่างนึงคือ ในการทัวร์นั้นเขามีเหล้าให้ชิมฟรีครับ!

เรื่องการศึกษา

ถึงแม้ที่ผมไปอยู่เนี่ยเป็นแค่โรงเรียนเทคนิคทั่วไป ในไทยนั่งคิดก็คงจินตนาการถึงเด็กเทคนิคตีกันงี้ แต่ที่นี่ไม่ใช่ เด็กที่นี่เขาเทพมากครับ เหมือนแคมปัสที่ผมอยู่จะถนัดเรื่องหุ่นยนต์ เพราะปกติแล้ว KOSEN มีหลายแห่งทั่วประเทศ เป็นเครือโรงเรียนเทคนิค

เรื่องการศึกษาญี่ปุ่น เดาว่างบน่าจะเยอะมากครับ เพราะอย่างแล็ปที่ผมอยู่ก็มี Workstation หลายเครื่องมาก แต่ละเครื่องก็ 1080ti หรือ tesla ซึ่งน่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสใช้ ของพวกนี้ราคาไม่เบาเลย อยากให้ทางไทยในงบสนับสนุนมหาลัยแบบนี้บ้าง (น่าจะยาก รบ.พึ่งตัดงบการศึกษาออกไป...)

ชีวิตประจำวัน

ส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ไม่มีปัญหาอะไรมากครับ มีพี่ @nunimadao คอยช่วย เพราะเวลาไม่รู้อะไรยังไง ก็ทักไปถาม อีกทั้งไม่ค่อยได้ไปไหน แล้วเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนในโครงการของมหาลัยทางไทยกับทางนี้ ทางญี่ปุ่นเลยดูแลค่อนข้างดีครับ

ซึ่งระหว่างอยู่ทางสถาบันเขาก็พาไปดูนู่นนี่ไปเรื่อยหรือไม่ก็ทำกิจกรรมในสถาบัน

อ่อ ระหว่างอยู่ที่นั้นเขาก็มีคาบเรียนให้เรียนสองคาบ เป็นคาบภาษาญี่ปุ่น และคาบศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นครับ

ส่วนเรื่องการเดินทาง แน่นอน "ที่นี่ญี่ปุ่น" รถไฟฟ้าและรถเมล์สะดวกมากครับ ถือบัตร IC แบบ suica ก็สบาย ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นอกจากไปยืนเอ๋อหน้าตู้เติมเงินครั้งนึง รอบนั้นต้องขอโทษป้าชาวญี่ปุ่นข้างหลังเราที่รอเติมเงินมากครับ...

แต่ที่แปลกใจเรื่องนึงคือถนนในญี่ปุ่นมืดมาก เป็นไทยมืดขนาดนี้โดนลากไปแล้ว... ซึ่งในความมืดมันก้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แต่บางโซนที่มืดแบบไม่มีไฟเลยก็มี ก็สยองครับ...

ตัดจบ

ของ Sendai ขอตัดจบเพียงเท่านี้ก่อนครับ เพราะไม่ค่อยมีอะไรจะเล่าเท่าไหร่ เดี๋ยวบล็อกหน้ามาเขียนเรื่องตอนนี้ที่อยู่ Hokkaido ซึ่งมีอะไรให้เล่าเยอะกว่า เพราะมาคนเดียว...

ปิดท้ายด้วยภาพก่อนลาจาก อาจารย์และเด็กญี่ปุ่นที่เป็นคนดูแลวิ่งตามรถมาโบกมือลา

ป.ล. ถึงเพื่อน ๆ ในโรงเรียนมัธยมปลายที่ไทย ตอนนี้ทางสถาบันญี่ปุ่นที่ผมมาแลปเปลี่ยนนี่มีโครงการดีลกับจภ.ด้วย แต่ไม่ใช่จภ.ปทุม ว๊ายยยย

Special thanks.

เกือบลืม สำหรับทริปที่ได้มา Sendai ต้องกราบขอบพระคุณพี่ ๆ จากม.โตโฮคุที่ชวนไปกินข้าว ไปปาร์ตี้ ถึงแม้จะแค่แว๊บเดียวแล้วไม่ได้ไปแลกเปลี่ยนโดยตรงที่ม.โตโฮคุด้วย ต้องขอบคุณพี่นุนิที่ชวนไปครับ ว่าง ๆ จะไปเยี่ยมที่ Sendai ถ้ามี เงินและเวลา ครับ 555555555

ขอบคุณพี่กันต์ รุ่นพี่ในมหาลัยที่เคยมาก่อนหน้าผมสองปี มีอะไรก็ถามพี่กันต์ตลอด ต้องขอบพระคุณในความช่วยเหลือครับ

ขอบคุณที่ปรึกษาผมในญี่ปุ่น Xiaoyang Zhang ที่เขาช่วยขอ Dataset จากม.โตเกียวให้ผม เพราะงานผมพิเศษหน่อยกว่าคนอื่นคืองานของผมเอง ไม่ได้รับโปรเจคเหมือนเด็กแลกเปลี่ยนคนอื่น ซึ่งเขาบอกส่งท้ายผมว่า ถ้าจะมาต่อโทญี่ปุ่น มีปัญหาอะไรบอกเขาได้เลย เขาพร้อมช่วย และชวนไปเรียนที่โตโฮคุ ต้องขอบพระคุณมากครับ