ประสบการณ์ทำ ReLEx SMILE ณ รพ.จุฬาฯ

สองเดือนที่ผ่านมาได้ไปทำเลสิกแบบ Relex Smile มาที่รพ.จุฬาฯ เพื่อนจำนวนมากสอบถามรีวิวและขั้นตอนการทำ ส่วนเราก็อยากเขียนบล็อกเล่า...

ประสบการณ์ทำ ReLEx SMILE ณ รพ.จุฬาฯ
มีภาพแนวนอนที่เราไม่ได้ใส่แว่นแค่ภาพเดียว...

New article: ทำเลสิคมาครบปีแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

* เพื่อความสะดวกของผู้เขียน ขอเหมารวม ReLEx SMILE ว่าเป็นการทำ Lesik ไปเลย แต่ในความเป็นจริงคือการผ่าตัดคนละวิธีการ

** การรีวิวนี้ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบด้วยแพทย์ อาจมีความผิดพลาดในข้อมูลเชิงเทคนิค โปรดปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง

*** หากต้องการทราบราคาจริง โปรดสอบถามโรงพยาบาลต้นทางอีกครั้ง

สองเดือนที่ผ่านมาได้ไปทำเลสิกแบบ Relex Smile มาที่รพ.จุฬาฯ เพื่อนจำนวนมากสอบถามรีวิวและขั้นตอนการทำ ส่วนเราก็อยากเขียนบล็อกเล่าเพราะก่อนจะไปทำ การหาบทความรีวิวที่คนอื่นเขียนไว้นั้นยากมากเพราะส่วนใหญ่จะเลือกทำ Femto Lesik หรือ Blade Lasik เสียส่วนใหญ่ด้วยเหตุผลเรื่องราคา

ปัญหาสายตาก่อนทำ

(ไม่เกี่ยวกับเลซิก ข้ามไปหัวข้อต่อไปได้ถ้าไม่อยากอ่าน)

เกริ่นเรื่องสายตาตัวเราเองก่อน สายตาเราสั้นมากเพราะช่วงมัธยมเล่นคอมอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปโดนแสงแดด (จ้องคอมไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้สายตาสั้น แต่เพราะขาดแสงแดด อ่านงานวิจัยเพิ่มได้ที่นี่) ทำให้เราสายตาสั้นอยู่ที่ ตาขวา 700 กับ ตาซ้าย 800 และมีเอียง 50

ค่าสายตา ณ วันที่ตรวจกับแพทย์ที่รพ.จุฬาฯ

ความสั้นขนาดนั้นทำให้เวลาเราถอดแว่น เรามองไม่เห็นอะไรเลย เหมือนตาบอดเลย เคยแม้กระทั้งถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะในห้องแล้วลืมว่าวางไว้ตรงไหน เลยต้องเอาหน้าจ่อไปที่โต๊ะแล้วไถหน้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมองเห็น

ถ้านึกสภาพไม่ออก พูดให้เห็นภาพคือ เรามองของที่ห่างจากปลายจมูกเกิน 1 ฝ่ามือไม่ได้

ด้วยความที่สายตาสั้นมากขนาดนี้ทำให้มีปัญหาหลายอย่าง เช่น อาบน้ำจะมองอะไรไม่เห็นเลย เวลาจะอ่านฉลากสบู่ก็ต้องเอาขวดจ่อหน้า พอไปทำกิจกรรมที่เหงื่อออกเยอะ ๆ แว่นก็จะเปียกเหงื่อทำให้มองลำบาก โดยเฉพาะเดินเขาที่มีหมอก มองไม่เห็นตลอดทางเพราะหมอกกลายเป็นน้ำเกาะอยู่บนแว่นตา

อีกกิจกรรมนึงที่เรื่องสายตาสร้างปัญหาก็คือดำน้ำสกูบ้า เราใส่คอนแทกเลนส์แล้วปวดหัว ใส่แว่นดำน้ำเสริมเลนส์ก็มองไม่ชัด ปัญหาเยอะมาก

อีกปัญหาสำคัญที่เรากลัวมาตลอดคือหากเราย้ายไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว ถ้าเกิดอุบัติเหตุแว่นแตก เราคือจบเห่แบบสุด ๆ เพราะเหมือนคนตาบอดที่ต้องให้คนนำทางให้ จะโทรให้เพื่อนมาช่วยก็ไม่ได้

อีกปัญหา คือ แว่นเราไม่สามารถแก้ค่าสายตาเราได้ทั้งหมด หากเราใส่แว่นที่สั้นเท่ากับค่าสายตาเรา เลนส์จะใหญ่แล้วโลกเบี้ยวจนปวดหัว สุดท้ายเลยใส่แว่นที่พอให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ แต่หักลบแล้วก็ยังสั้นมาก ๆ อยู่ขณะใส่แว่น (สั้นจนหมอถามว่าใส่แว่นแล้วมองเห็นหรอ)

ทั้งหมดนี้เลยเป็นเหตุผลที่เลซิกเป็นทางเลือกที่วนเวียนไปมาในหัว จนสุดท้ายตัดสินใจทำ

วางแผนก่อนเริ่มทำเลสิก

พอเราเริ่มคิดจะทำ เราเริ่มหาข้อมูลเรื่องการทำเลสิกได้มาดังนี้

4 วิธีผ่าตัด Lasik

การผ่าตัดที่ทุกคนเรียกรวม ๆ ว่าเลสิกความจริงแบ่งย่อยเป็นคร่าว ๆ 4 แบบ

PRK

ไม่ต้องเปิดกระจกตา แต่ใช้วิธีการค่อย ๆ ขูดกระจกตาออกจนได้รูปทรงที่ต้องการ

ข้อดี: ไม่เห็นแสงกระเจิงเวลามองไฟตอนกลางคืน นักบินเลือกทำวิธีนี้ได้, ถูก

ข้อเสีย: ผลข้างเคียงอื่นเยอะ พักฟื้นนานสุดเทียบกับแบบอื่น

ราคา: 28xxx - 35xxx

Blade Lasik

อันนี้คือเลสิกที่ทุกคนพูดถึงกัน ใช้วิธีเอาใบมีดเปิดกระจกตาขึ้นมาก่อน เปิดแล้วพับเหมือนฝาถังขยะพับได้ จากนั้นใช้เลเซอร์ยิงเพื่อปรับทรงกระบอกตาให้ได้รูป จากนั้นพับกระจกตาปิดลงมา

ข้อดี: ถูก, พื้นตัวเร็ว (พวกที่บอกตื่นมาโลกสดใสก็คือพวกนี้ กับ Femto Lasik)

ข้อเสีย: ผลข้างเคียงเยอะ, แผลใหญ่

ราคา: 28k- 35k

Femto Lasik

เหมือน Blade Lasik เลย แต่ขั้นตอนการผ่าเปิดกระจกตาใช้เลเซอร์เปิดแทนใบมีด ทำให้แม่นยำและลดผลข้างเคียงได้มากกว่า

ข้อดี: ผลข้างเคียงน้อย, ตื่นมาโลกสดใสทันที

ข้อเสีย: แผลใหญ่, แพงขึ้นมาจาก Blade Lasik

ราคา: 50k- 70k

ReLEx SMILE

เป็นการผ่าตัดแบบใหม่ แผลเล็กมาก ไม่มีการเปิดกระจกตาเหมือน Blade Lasik กับ Femto Lasik ใช้กระบวนการยิงเลเซอร์ทะลุกระจกตาลงไปเลยเพื่อปรับทรงกระบอกตา จากนั้นเลเซอร์จะยิงเปิดรูเล็ก ๆ บนดวงตาเพื่อให้หมอดึงชิ้นเน้ือที่ถูกตัดออกมาได้

ข้อดี: แผลเล็กที่สุด, ผลข้างเคียงน้อย

ข้อเสีย: แพงสุดใน 4 วิธี, พักฟื้นนานกว่า Blade/Femto มาก จะมองไม่ชัดตั้งแต่วันแรกหลังทำ และใช้เวลาอีก 2-4 สัปดาห์จนกว่าสายตาชัดเต็มที่

ราคา: 80k- 120k

อื่นๆ

ความจริงแล้วมันมีวิธีอื่นๆ อีก เช่น SBK Lasik, Trans PRK ซึ่งไม่ขอพูดถึงเพราะไม่ค่อยได้ยินชื่อ ส่วน ICL ที่เป็นการผ่าที่แพงมาก (ข้างละแสนหก) ไม่ขอพูดถึงเพราะเป็นการสอดเลนส์เข้าไปในดวงตาแทนการปรับทรงกระบอกตา หากสนใจสามารถลองค้นหาเองได้

ซึ่งพอเราเริ่มหาข้อมูล สอบถามจากคนรอบข้าง ทำให้เราคิดว่ายอมกัดฟันทำ ReLEx Smile ดีสุด เพราะถึงแม้แพงแต่เรายังเอื้อมถึง รวมถึงเป็นการผ่าตัดสำคัญเราจึงอยากเลือกที่ดีที่สุด

โรงพยาบาล

ระหว่างหาข้อมูลเรื่องการผ่าตัด เราก็เช็คราคาและรีวิวของแต่ละโรงพยาบาลไปด้วย ซึ่งเราหาข้อมูลคร่าว ๆ สถานพยาบาลที่มี Relex Smile ก็มีดังนี้

  • ศูนย์เลสิค TRSC
  • โรงพยาบาลจุฬาฯ
  • โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์
  • โรงพยาบาลกรุงเทพ
  • ศูนย์รักษาตา/ศูนย์เลสิค ท็อปเจริญ (เหมือนจะพึ่งมีเพราะช่วงแรกที่หาข้อมูล หาไม่ได้ แต่หลังทำเสร็จพึ่งมาเจอว่ามีที่นี่)

แต่ละที่ก็จะมีราคาและรีวิวต่างกันไป แต่เราสนใจหลัก ๆ อยู่สองสามที่เท่านั้นจึงค่อย ๆ คัดไป

TRSC ชอบเคลมว่าเป็นที่แรกของไทยที่ทำเรื่องนี้ จึงมีความชำนาญกว่าเพื่อน (เขาว่างั้น) แต่ราคาที่นี่ก็แพงที่สุดเช่นเดียวกัน จึงตัดที่นี่ออกเป็นที่แรก

โรงพยาบาลจุฬาฯ และ โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ราคาต่างกันไม่เกินหมื่น โดยที่รพ.จุฬาฯ ถูกกว่า แต่สมิติเวชมีให้ห้องพักฟรีหนึ่งคืนหลังจากผ่าตัดเสร็จเพราะเมื่อผ่าเสร็จ วันต่อมาต้องกลับมาตรวจอีกรอบนึง อีกทั้งวันที่ผ่าตัดจะมองไม่ค่อยเห็น หากต้องกลับบ้านก็ต้องมีคนมารับเท่านั้น

แต่รพ.จุฬาฯ มีข้อเสียหนึ่ง คือ ไม่สามารถตรวจเช้าและผ่าบ่ายเหมือนโรงพยาบาลอื่น ๆ ได้ หากมาตรวจตาเรียบร้อย ต้องนัดวันผ่าอีกทีซึ่งจะห่างไปอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ ส่วนสมิติเวชสามารถตรวจเช้าและผ่าในวันเดียวกันได้เลย

สุดท้ายเราเลือกรพ.จุฬาฯ เพราะเพื่อนทำที่นี่และราคาถูกสุดในทุกโรงพยาบาล

เริ่มนัดแพทย์ครั้งแรก

ณ ตอนที่เราคิดว่าเราจะทำเลสิกจริง ๆ แล้วนะ ลึก ๆ ตัวเราก็ยังโลเลเพราะกลัวมาก กลัวหลายอย่างไปหมด กลัวว่าทำแล้วตาบอด ทำแล้วตามีปัญหา กลัวหลายอย่างจนลังเล แต่ก่อนจะทำเลสิกได้ต้องผ่านการตรวจก่อน บางคนหมอไม่อนุญาติเพราะดวงตาไม่ผ่านเกณฑ์ บางคนสั้นมากแต่กระบอกตาเนื้อเยอะจึงทำได้ บางคนสั้นปานกลางแต่กระบอกตาเล็กก็ทำไม่ได้ก็มี

สุดท้ายไม่อยากเสียเวลากังวล จึงเป็นอย่างที่ทราบ ตัดสินใจไปตรวจกับหมอก่อนละกัน

รพ.จุฬาฯ ต้องนัดเช้าเท่านั้น ก่อน 9.30 ซึ่งการตรวจจะมีการตรวจตาทั่วไป และที่สำคัญคือมีการหยอดยาขยายรูม่านตาเพื่อตรวจรูม่านตา การหยอดยานี้จะทำให้มองเห็นไม่ชัด ตาพร่าและมองเห็นแสงจ้ามากกว่าปกติ ใช้เวลา 1-2 วันถึงจะหายเป็นปกติ ดังนั้นวันแรกที่ไปตรวจตาจึงควรพกแว่นดำ หากมาด้วยรถส่วนตัวจะต้องมีคนขับกลับให้

ระหว่างการตรวจ หมอจะสอบถามข้อมูลเบื้องต้น หนึ่งในนั้นคือ สายตาคุณมีการเปลี่ยนแปลงแค่ไหนในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา?

ปัญหาคือเราตอบไม่ได้... สุดท้ายหมอแนะนำว่าให้กลับมาอีกที 6 เดือนหน้าเพื่อเช็คค่าสายตาอีกรอบเพราะหมอไม่อยากให้ทำหากค่าสายตายังไม่นิ่ง ไม่งั้นทำไปแล้วกลับมาสั้นอีกรอบ

อีกเรื่องที่หมอแจ้ง คือ เมื่อเราผ่านการผ่าตัด ดวงตาเราจะโดนเอาเนื้อออกไป และ มีความเสี่ยงเรื่องเลนส์ตาโก่งมากกว่าคนปกติ (คนปกติก็มีโอกาสเป็น) ทำให้สายตากลับมาสั้นได้ โดยหมอไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะเกิดไหมหรือเกิดเมื่อไหร่ แต่เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง

นอกจากนี้เรายังสอบถามหมออีกครั้งว่า เราควรเลือกผ่าแบบไหน โดยเรามีเงื่อนไขว่า เราชอบกีฬาผจญภัย เช่น เดินเขา ปีนผา ดำน้ำลึก พอหมอทราบว่ามีกิจกรรมดังกล่าว หมอจึงแนะนำให้ทำ Relex Smile เพราะแผลเล็กที่สุด หากเกิดการกระทบกระเทือนดวงตาในอนาคต โอกาสที่แผลเปิดซ้ำจะน้อยมาก

โดยรวมแล้วหมอบอกว่า ค่าสายตาเราทั้งหมดผ่านและสามารถทำการผ่าตัดได้ แค่มารอตรวจอีกที 6 เดือนข้างหน้าว่าสายตานิ่งหรือยัง และสำหรับเรื่องความเสี่ยงเลนส์ตาโก่งเราก็มานั่งคิดหลังจากนั้นว่าเป็นความเสี่ยงที่เรายอมรับได้

ค่าตรวจทั้งหมดอยู่ที่ 2xxx บาท

6 เดือนผ่านมา ตรวจอีกครั้ง

ผ่านมาหกเดือน กลับไปหาหมออีกรอบเพื่อตรวจ ครั้งนี้ไม่ต้องมีการหยอดยาขยายม่านตาแล้ว มีแค่การตรวจค่าสายตาและตรวจพื้นฐานอื่น ๆ ซึ่งก็พบว่าค่าสายตาเราขยับน้อยกว่า 50 ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นจึงถือว่าค่าสายตานิ่งแล้ว

แต่ปัญหาจุกจิกก็เริ่มมา (ความจริงรู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว) คือ หมอที่ตรวจเราเมื่อหกเดือนก่อนนั้นลาไปเรียนต่อต่างประเทศและกว่าจะกลับมาก็อีกนาน เราจึงต้องเปลี่ยนหมอใหม่และเริ่มการตรวจใหม่อีกรอบ แต่เราไม่มีปัญหาอะไรจึงนัดเปลี่ยนหมอแล้วมาใหม่

(ความจริงระหว่างนี้มีปัญหาอีกสองสามอย่างเพราะการสื่อสารที่งง ๆ เช่น คิดว่าวันที่เรานัดครั้งต่อมาจะได้ผ่าเลยแต่ไม่ใช่ นัดมาตรวจแล้วไม่เจอแพทย์ จนอยากจะเปลี่ยนไปสมิติเวช แต่เพราะราคาโปรโมชั่นที่ถูกกว่าเกือบหมื่นจึงยอมทนต่อไป)

ตัดภาพมาจนนัดเจอแพทย์คนใหม่ได้ หมอก็ซักประวัติเหมือนเดิม ตรวจตาพื้นฐานอีกรอบ แต่โชคดีที่เราไม่ต้องตรวจม่านตาจึงไม่ต้องหยอดยา

สุดท้ายหมอนัดวันและสั่งให้ดูแลดวงตาตามหมอสั่ง หมอมีสั่งยาทำความสะอาดดวงตาและเจลหยอดตาให้เพราะเรามีปัญหาตาแห้ง ไขมันอุดตัน และ ดวงตาไม่ค่อยสะอาด

นอกจากนี้หมอแจ้งว่าค่าสายตาเราจะต้องยิงเลเซอร์นานข้างละ 20 วินาที เพราะฉะนั้นไปฝึกฝืนดวงตา ห้ามขยับให้ได้นาน 20 วินาทีมาด้วย

ค่าตรวจ 100 บาท ไม่รวมยา

วันผ่าตัดจริง

มาถึงวันผ่าจริง ก็ต้องนัดเจอที่แผนกเลเซอร์ตั้งแต่สาย ๆ จากนั้นพยาบาลจะมาอธิบายขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ รวมถึงอธิบายยาที่จะได้รับกลับบ้านหลังผ่าตัดเสร็จ

ยาและอุปกรณ์ดูแลดวงตาที่ได้กลับมา

เนื่องจากนัดสายแต่ผ่าตัดจริงจะเริ่มช่วงบ่าย พยาบาลจึงให้ไปกินข้าวก่อนแล้วเข้าไปรอที่แผนกผ่าตัดได้เลย

พอเข้าแผนกผ่าตัดจะต้องเปลี่ยนชุดเป็นชุดเขียว ๆ จากนั้นนั่งรอเข้าห้องผ่า (ซึ่งนานมากเป็นชั่วโมงเลย)

พอถึงคิวเรา พยาบาลจะเอารถเข็นมารับและเริ่มการหยอดยาชา การหยอดยาชาจะทำซ้ำหลายรอบ ประมาณ 3 ครั้งหากจำไม่ผิดซึ่งกินเวลาไปอีกสักพักก่อนจะเริ่มก้าวเข้าห้องผ่าตัด

ขออธิบายความรู้สึกเมื่อเข้าห้องผ่าตัด ที่เราคิดไว้คือห้องไม่ใหญ่ มีแพทย์และพยาบาลสองสามคน แต่ความจริงคือห้องใหญ่มาก สีขาว มีเครื่องมือใหญ่ ๆ ตั้งกลางห้อง และผู้คนเกือบสิบคนในนั้น (คนเยอะเพราะมีนศ.แพทย์มาเรียน เนื่องจากแพทย์ของเราคืออาจารย์หมอ)

ภาพแรกในหัวเราคือภาพนี้ แต่เปลี่ยนจากช็อกโกแลตเป็นตัวเราที่กำลังจะไปนอนบนเตียง

Charlie and the Chocolate Factory (2005)

ระหว่างนั้นตาจะเริ่มรู้สึกชา ๆ แปลก ๆ และมองไม่ค่อยชัด พยาบาลจะสอบถามชื่อจากนั้นพาเราขึ้นไปที่เตียง พยาบาลจะให้ลูกบอลยางให้เราบีบแก้เครียดระหว่างการผ่าหากตื่นเต้น (ซึ่งเราบีบแน่นมาก)

ระหว่างนี้พยาบาลจะเตรียมพื้นที่ผ่าตัดโดยการเอาผ้าคลุมครอบทั้งตัวเรา เปิดไว้แค่ดวงตา และขึงเปลือกตาเราด้วยเทปกาวเพื่อไม่ให้เราหลับตาได้

หากใครนึกภาพไม่ออก เราช่วยได้

จากนั้นหมอจะซักซ้อมเรา เช่น ให้มองนิ้วหมอ ให้ล็อกดวงตาให้นิ่งห้ามขยับ เป็นต้น

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย กระบวนการก็เริ่มต้น เตียงเราจะถูกเลื่อนเข้าไปอยู่ใต้เครื่องจักรสีขาวขนาดใหญ่ แล้วเครื่องมือจะเลื่อนเข้าใกล้ดวงตาเรื่อย ๆ จนเหมือนมีหัวดูดมาจุ๊บดวงตาเราซึ่งมันจะล็อกตำแหน่งดวงตาเราไว้ระหว่างเลเซอร์ทำงาน แต่จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากเพราะยาชา

พอเครื่องดูดตาเรา มีเสียงจากเครื่องว่า "suction on" ปุ๊ป แพทย์และพยาบาลก็เริ่มคุยกันว่าเริ่มกระบวนการ จากนั้นจะมีแสงเลเซอร์สีเขียวโผล่ออกมาพร้อมเสียงนับถอยหลังไปเรื่อย ๆ 25.. 24.. 23 ....

ซึ่งเราก็ต้องคุมดวงตาเราให้นิ่งห้ามขยับ มองแสงสีเขียวนั้นเอาไว้ แต่... มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครบอกเราเลยคือ อีแสงสีเขียวนั้นมันขยับได้!!! เราสับสนมากตอนนั้นว่าเราควรกลอกตาตามไปหรือมองที่เดิมดี สุดท้ายก็ไม่กล้าขยับดวงตาและพยายามทำตานิ่ง ๆ ไว้ต่อไป (เอาจริงตอนแรกคิดว่าหมอเขาจะซ้อมก่อน แต่พอแสงเขียวโผล่มาจึงรู้ว่า อ้าวเห้ย นี่มันของจริง)

พอเสร็จ เตียงจะถูกเลื่อนออกมาอยู่ใต้หมอและพยาบาลดังเดิม แต่ขั้นตอนยังไม่จบ! เพราะ Relex Smile จะต้องถูกหมอดึงชิ้นเนื้อออกด้วย กระบวนการจึงยังดำเนินต่อไป

ณ ตอนแรกเราคิดว่าการหยิบชิ้นเนื้อ คือ การคีบเนื้อออกมาแล้วเสร็จตามวิดีโอสาธิต แต่เรามาพบระหว่างถูกหมอหยิบเนื้อออกว่า วิธีการจริงคือหมอจะสอดของคล้าย ๆ ขดลวดเข้ามาในดวงตาเราเพื่อคว้านเนื้อส่วนที่ถูกเลเซอร์ตัดแล้วออกไป ระหว่างนั้นเราต้องช่วยหมอด้วยการพยายามมองแสงที่อยู่เหนือหัวไว้ เพราะดวงตาเราจะขยับไปมาจากแรงที่หมอสอดเครื่องมือเข้ามาในดวงตา เราเลยต้องช่วยฝืนตาให้หมอดึงเนื้อออกไปง่าย ๆ

สยองดี หากนึกภาพไม่ออก อยากเห็นของจริงที่ไม่ใช้คลิปวิดีโอจำลอง ดูได้จากคลิปนี้ London Vision Clinic | ReLEx SMILE

เมื่อทำเสร็จก็จะทำกระบวนการทั้งหมดนี้อีกรอบในดวงตาอีกข้าง เริ่มจากกลับเข้าไปใต้เครื่องแล้วกลับออกมาโดนหมอดึงชิ้นเนื้ออีกครั้ง

หลังกระบวนการทั้งหมดเสร็จ พยาบาลจะพาเรามานั่งรถเข็นแล้วคุยกับหมอนิดหน่อย ไม่มีอะไรสำคัญมาก จากนั้นกลับออกมาเปลี่ยนเสื้อ รอคนมารับ จ่ายเงิน แล้วกลับบ้านได้เลย

ค่าผ่าตัด 82,000 บาท เราได้ราคาโปรโมชั่นจากปกติราคาแปดหมื่นปลายๆ แต่โปรโมชั่นนี้หมดไปแล้ว

หลังผ่าตัดเสร็จ

หลังผ่าตัดเสร็จ ดวงตาจะพอมองเห็นได้บ้างแต่เบลอมาก ๆ แต่ไม่ได้เบลอเหมือนคนสายตาสั้น จะคล้าย ๆ มีคนเอาผ้าขาวบางมาปิดตามากกว่า

ดวงตานี้จะห้ามโดนน้ำไปตลอด 2 อาทิตย์ ดังนั้นหมอจึงสั่งห้ามล้างหน้าหรือสระผม 2 อาทิตย์ และห้ามว่ายน้ำ 1 เดือน นอกจากนี้ต้องใส่ที่ครอบตาเมื่อจะนอนไปอีก 2 อาทิตย์เช่นเดียวกัน

ถ่ายเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2565

วันผ่าตัดไม่ควรทำอะไรมาก กลับบ้านกินข้าวแล้วนอนพักผ่อนทันที

วันต่อมาตื่นขึ้นมาจะยังไม่ชัด 100% เหมือนพวก Blade, Femto Lasik ที่ชอบบอกว่าตื่นมาแล้วโลกสดใส ของเราจะชัดที่ประมาณ 70% คือ มองทุกอย่างได้โดยไม่ต้องใส่แว่นแล้วแต่ยังมีมัว ๆ อยู่บ้าง

วันนี้ตื่นมาต้องกลับไปหาหมอเหมือนเดิมเพื่อตรวจเช็คแผลผ่าตัด ซึ่งระหว่างนี้แพทย์จะแนะนำให้ใส่แว่นตากันแดดตลอดเพื่อป้องกัน UV

การนัดตรวจหลังผ่าตัดจะเป็น 1 วันหลังผ่า, 2 อาทิตย์, 1 เดือน, 6 เดือน และ 12 เดือนถัดไป

ผลการผ่าของเราออกมาดี หมอผู้ทำการตรวจไม่พบปัญหาใด ๆ จึงกลับบ้านไปนอนพักเหมือนเดิมได้

ระหว่างนี้เราพักสายตา ไม่เล่นคอมหรือมือถือ ไม่ทำงาน ไปตลอด 5 วัน ซึ่งเราลาเผื่อไว้เรียบร้อยแล้ว

2 เดือนหลังการผ่าตัด

ตอนนี้เรามองทุกอย่างชัดมาก จากเดิมที่เราสายตาแย่กว่าแม่ ตอนนี้เรามองชัดกว่าแม่เยอะมาก เรามองป้ายบนถนนไกล ๆ ได้ดีมาก ต้นไม้ใบหญ้าและก้อนเมฆคือ 4K

สายตาเราเริ่มมาชัดจริง ๆ คือ 1 เดือนหลังผ่าตัดเลย

ผลข้างเขียงจากการผ่าตัดพอมีบ้าง เช่น

  • แสงในตอนกลางคืนจะมีออร่ารอบ ๆ กว่าปกติ แต่ไม่ได้เยอะมากและหากไม่สังเกตก็ไม่ได้สนใจอะไร
  • ตาแห้งบ่อย ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมโดยเฉพาะเมื่อทำงานหน้าคอม
  • ตาล้าง่ายขึ้นเมื่อจ้องมือถือหรือคอมนาน ๆ
  • มีเบลอ ๆ นิดหน่อยบ้างครั้ง ขึ้นอยู่กับความล้าของดวงตา

ระหว่างนี้เราก็ดูแลดวงตามากขึ้น เช่น ระวังสิ่งของมากระแทก, ใส่แว่นดำเวลาออกที่แจ้ง, ใส่แว่นตากันแสงสีฟ้าเวลาทำงานหน้าคอม (ถึงแม้มันจะไม่มีผลอะไรสำหรับคนปกติ) และพยายามไม่จ้องจอคอมหรือมือถือเป็นเวลานานเหมือนแต่ก่อน

สอบถามจากคนรอบตัวที่ทำ บางคนบอกว่าประมาณ 1 ปี ดวงตาถึงจะเริ่มปกติเหมือนเดิม

คุ้มไหมที่ทำ?

ถ้าถามว่าจ่ายเงินทำไป ตอนนี้เสียดายอะไรไหม ก็บอกเลยว่า ไม่! ชีวิตเราง่ายขึ้นมาก ๆ ถ้าไม่นับเรื่องไม่คุ้นหน้าตัวเอง และ เพื่อนบอกไม่คุ้นเลย

เราพึ่งกลับไปเดินป่าอีกครั้งกับกลุ่มเพื่อน ได้มองท้องฟ้าและวิวต่าง ๆ ตลอดทางโดยไม่มีเหงื่อหรือหมอกมาทำให้แว่นมัว ไม่ต้องเช็ดแว่นตลอดทาง และตอนนี้เริ่มวางแผนจะกลับไปดำน้ำลึกแล้วด้วย

ทุกวันนี้ก็คิดว่าถ้าเราสายปกติดีแบบนี้ไปได้อีกสัก 10 ปีอย่างน้อย ก็ถือว่าการเข้ารับการผ่าตัดครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว ระหว่างนี้เราก็พยายามรักษาดวงตาให้ดีขึ้น ถ้าถามว่าให้ย้อนเวลากลับไปเลือกว่าจะทำอีกรอบไหม ก็จะตอบว่าทำ

ไม่ได้ใส่แว่นแล้วจ้า! (มีแต่คนบอกว่าหน้าจีนขึ้น)

Update: ถ้าอยากรู้ว่าทำเลสิคมาปีนึงแล้วเป็นยังไงบ้าง อ่านต่อได้ที่ลิงค์นี้เลย https://blog.cloudian.in.th/2023/10/11/1-year-after-lasik/