ดินแดนนรกภูมิ นามว่าเขาชนไก่ (ภาค 2)

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะอาจใส่สีตีไข่เพิ่มอีก 20-50% จากเรื่องจริง

มาต่อจากภาคแรกกันเลยนะครับ สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านภาคแรก ผมแนะนำให้อ่านภาคแรกก่อน กดที่นี้ได้เลย หรือจะข้ามมาอ่านภาคสองเลยก็คงไม่เป็นอะไรมากนั้นแหละครับ

เข้าเรื่องกันเลยละกัน

- วันที่สอง 10 กุมภาพันธ์ 2558 -

วันนี้ตื่นมาตอน 04.45 นาฬิกา และแน่นอนผมไม่ได้ตื่นเอง แต่เสียงนกหวีดครับ เช้านี้ผมปวดคอมากจากการนอนด้วยหมอนที่ทำจากเสื้อรด.ผมเอง (พับไปมาจนเป็นหมอน)

และเช้านี้ก็ทำให้ผมเข้าใจถึงคำคมอันหนึ่ง

ฝันร้ายที่สุดคือการที่ตื่นมาแล้วพบว่ามันเป็นแค่ความฝัน

ทำไมนะหรือครับ เพราะผมฝันว่าผมนั่งเล่นสบายๆอยู่ที่โรงเรียน แต่ตื่นขึ้นมาแล้วดันพบว่าตัวเองอยู่ที่ค่ายเขาชนไก่

แต่ก็เศร้านานมากไม่ได้ เดี๋ยวโดนหมอบ เลยต้องรีบแต่งตัว จัดกระเป๋าเตรียมเดินทาง ส่วนเรื่องแปรงฟันล้างหน้าน่ะ ลืมไปซะเถอะ

ไม่นานนักก็เรียกรวม อธิบายกำหนดการคร่าวๆ ซึ่งก็คือช่วงเช้าเราจะเดินไปที่สถานีฝึกยิงปืน (อ่าาาา ขาของข้า) และตอนบ่ายก็จะไปสถานีครชน. (เคมี รังสี ชีวภาพ นิวเคลียร์)

ก็กินข้าวกันก่อนเลย และวันนี้ก็แน่นอน ผมก็ไปกินไก่แดงเหมือนเดิม 20 บาท ข้าวเหนียวสองถุง ไก่สองไม้ รีบๆกิน กินน้ำ แล้วรีบรวม

ทุกคนกินเสร็จ เคลียร์ธุระส่วนตัว ก็รวมเพื่อเตรียมเดินทางครับ ตอนเดินทางเป็นเช้ามืดมัน อากาศเย็นสบายจริงๆครับ นี่ไม่ได้ประชดนะ แต่เดินสบายมาก แต่ก็ยังมีฝุ่นอยู่เยอะ ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม ผมใส่ผ้าปิดปากตลอด

เดินไปจนถึงสถานีฝึก ก็รวมอีกรอบ นับคน เผื่อใครแอบไปฉี่แล้วหลงป่า แล้วก็เตรียมจัดแถวยิงปืนตามลำดับเมื่อวันแรก

เหมือนเดิมครับ อธิบายเหมือนเดิม เรื่องเดิม ปืนเดิมๆ เหมือนเดิมทุกอย่างแค่ละเอียดขึ้น และไม่มีเสียเงิน แต่ก็ดีครับ เพราะผมก็จำไม่ได้ว่ามันต้องยิงไง แล้วก็แจกปืน ให้ซ้อมกันอีกรอบ

ผมอยู่รอบที่เจ็ดหรือแปดนี่แหละ จำไม่ได้ กว่าจะได้ยิงปืนก็ก็สายๆเลย รอนานมาก ซึ่งระหว่างรอก็ต้องโดนซ้อมยิงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ

จนกระทั่งถึงตาผม อุ้ย ตื่นเต้นมากครับ

ก็เรียกแถว และเริ่มเดินไปจนถึงสนามยิง ซึ่งต้องข้ามถนนไปอีกฝาก ในใจก็แบบ อ่า จะได้ยิงของจริงๆแล้ว ระหว่างรอ ช่วงเวลานั้นก็คงไม่ได้ต่างอะไรกับวันตรุษจีนเท่าไหร่ เสียงปืนนี่ปังๆๆๆ ไม่ต่างอะไรกับประทัดเลย ผมหายข้องใจทันทีว่าทำไมชอบเอาประทัดแทนเสียงปืน มันเหมือนกันมากจริงๆ

สักพักก็มีครูฝั่งสนามยิงปืนเดินมา เรียกคนตามหมายเลขออกไป ประมาณห้าคน ผมก็งงๆว่าเรียกทำไม ซึ่งก็งงได้ไม่นาน เพราะเขาเรียกหมายเลข 60 ด้วย แย่จริง นั้นมันผมเอง

ผมก็โดนเรียกออกไป ทหารก็บอกว่า เสียสละหน่อยน่า เอาละสิครับ คำว่าเสียสละของทหารมักจะเป็นคำที่ทำให้เราลำบากเสมอ

โดนเรียกไปทำอะไรกันแน่ คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวเป็นล้านรอบ เสมือนเพลงของท่านประยุทธ์ที่เปิดซ้ำๆทุกวัน

ไม่นานก็โดนชี้ให้เดินไปทางกราบขวาของสนามฝึก ตรงบริเวณนั้นมีธงตั้งอยู่ เห็นปุ๊ปก็ถึงบางอ้อ ทหารให้ผมมาเป็นคนชักธงนี่เอง

คือ สนามยิงปืนมีธงเล็กหกอัน ธงใหญ่สองอัน ตั้งอยู่ก่อนเดินเข้าไปจุดยิง แบ่งเป็นกราบซ้ายและขวาอย่างละสามธงเล็กหนึ่งธงใหญ่ หนึ่งธงมีผ้าสองผืนคือเขียวและแดง เขียวคือสนามปลอดภัย แดงคืออันตราย กำลังมีการยิงปืน

ธงทุกธงจะชักธงสีแดงขึ้นต่อเมื่อมีคำสั่งเตรียมยิง และธงเล็กชักธงเขียนขึ้นเมื่อพื้นที่ของตนเองนั้นเก็บปืนเรียบร้อย ส่วนธงใหญ่จะชักธงเขียวต่อเมื่อธงเล็กทุกธงของกราบขวาหรือซ้ายของตนเป็นสีเขียว

นั้นแหละครับ หน้าที่ง่ายๆ ฟังสัญญาณและชักธง

แต่ปัญหาคือ... ไม่นานหลังจากผมไปประจำตำแหน่ง ก็อยู่คู่กับเพื่อนจากโรงเรียนนานาชาติคนนึง เขาก็เงียบๆ ผมก็ไม่ได้ถามอะไร จนกระทั่งพวกเราทั้งคู่ก็ยืนเหม่อมองพวกยิงปืน คืออยากยิงไง ซึ่งนั้นแหละครับปัญหาเลย ยืนเหม่อจนลืมชักธง

ครูฝึกเห็นเข้าครับ ไม่มีอะไรมาก ครูฝึกเขาใจดีครับ มีใจบริการ วิดพื้นยี่สิบ เชิญชิมกันไปก่อน

จากนั้นเราสองคนนี่ก็เป๊ะตลอดครับ อิ่มแล้ว ไม่อยากเจอวิดพื้น

ก็รอดมาได้ด้วยดีจนกระทั้งถึงตาผม ผมก็เข้าไปยิงปืนละ ตอนแรกเอ๋อๆนิดหน่อย โดนด่าเสียทีก็เริ่มยิงดีละ ขอบอกเลยว่าเห็นผมเล่นคอมทั้งวัน แต่สกิลยิงปืนก็ใช้ได้นะ

รอบแรกตอนปรับเป้าเล็งนี่ผมยิงเข้าจุดดำด้วย ที่เหลือเข้ากระดาษตลอด หลุดกระดาษไปลูกนึง

ส่วนรอบจริงก็เอียงซ้ายไปนิดหน่อย แต่ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ดี ขนาดที่ครูที่ด่าผมตอนแรกยังออกปากชมเลย (ไม่ได้อวด พูดจริง) ก็ยิงเสร็จ เก็บเป้า ส่งคะแนน เคลียร์ปลอกกระสุน ก็กลับไปชักธงกันต่อไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

ซึ่งอยากจะบอกว่าได้ยิง M16A1 ก็สนุกดีนะครับ แต่แรงถีบมันเยอะมาก ต่างจากปืนง่อยๆที่เราได้ยิงกันที่ศูนย์ใหญ่รด.กันมากเลย กระสุนที่ศูนย์ใหญ่ให้เรายิงเป็น .22 มั้งถ้าจำไม่ผิด แต่นี่เป็น .5 ดูต่างกันไม่มาก แต่ความยาวนี่ต่างกันหลายเท่าเลย .22 ประมาณใหญ่กว่าเส้นผ่านศูนย์กลางเหรียญสิบหนิดหน่อย แต่ .5 ประมาณครึ่งนึงของปากกาลูกลื่นเลย

พอทุกคนยิงเสร็จ คนชักธงก็ถึงได้หมดหน้าที่ เขาก็ให้เราเดินกลับ ซึ่งระหว่างเดินทาง ทหารก็เรียกทั้งหมดแล้วบอกว่า "อ้าว พวกชักธง เสียสละกันดีมาก มากินไอติมมา"

ผมนี่แบบ โหหหห ไอติมฟรี การเสียสละมันดีงี้นี่เอง เดินไปสักพัก แท่งละสิบบาท...

ความรู้สึกดีๆหายไปในทันที แต่ก็ไม่รู้จะทำไงก็ซื้อละกัน ไอติมโบราณตามแบบศูนย์ใหญ่รด.ขายกัน อร่อยใช่ได้ รสสตรอเบอร์รี่

มารวมกันอีกรอบเพื่อเตรียมเดินทางต่อไปอีกสถานีช่วงบ่ายซึ่งไม่ไกลกันมากนัก

ระหว่างพวกผมรวมก็แจ็กพ็อตครับ เจออีกผลัดนึงพึ่งมาใหม่พอดีวันแรก ผลัดนั้นมีโรงเรียนอะไรรู้ไหมครับ อัสสัมชันใหญ่ กับมหิดลวิทยานุสรณ์ โอ้วววเย้

เดาได้เลยว่าผลัดนี่น่าจะสบาย อสช. นี่เด็กเส้นใหญ่ก็เยอะ ส่วน MWIT นี่ก็หัวกระทิระดับต้นๆของประเทศ ทหารไม่กล้าทำอะไรสองที่นี่แน่นอน

แต่ช่างเขาเถอะครับ เราไม่เกี่ยว คิดแล้วก็เศร้า แต่ก็ก้มหน้าเดินต่อไป มุ่งสู่สถานี ครชน. (ชื่อมันดูฮาๆ) เคมี รังสี ชีวะ นิงเคลียร์ (ชีวะ หรือ ชีวภาพ ไม่มั่นใจ)

ไปถึงก็รวมอีกรอบ ไม่รู้จะรวมอะไรนักหนา แล้วก็กินข้าว ร้อนครับ บริเวณนี้ ไร้ซึ่งร่มเงาใดๆ

กินข้าวเสร็จก็ซื้อน้ำกิน อ่า เย็นชื่นใจ แล้วกลับมานั่งรอเรียกรวม

แต่ระหว่างรอมันก็มีอีเว้นท์พิเศษครับ อะไรรู้ไหม ลมบ้าหมูครับ คือ มันใหญ่มากนะ แทบจะเรียกว่าเป็นทอร์นาโดเลยก็ได้มั้ง ความกว้างกะคร่าวๆประมาณรถเก๋งคันกว่าๆ

ลมบ้าหมูลูกนี้ เกิดขึ้นมาแบบทันทีทันใด พัดสายรั้ว และเคลื่อนไปยังทิศทางของเต้นท์กินข้าว พังทลายเต้นท์เล็กๆของทหารกระจุย เฉียดๆเต้นท์กินข้าวไป แต่เชื่อเลยว่า ใครที่ยังกินข้าวอยู่นั้น ได้มีฝุ่นผงเป็นผงโรยหน้าแน่นอน

สักพักลมบ้าหมูก็เลี้ยวขวานิดหน่อย ซึ่งมันก็มีเด็กอยู่บริเวณนั้นครับ เด็กนี้ก็วิ่งหนีทันที ซึ่งจากที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือ พอลมบ้าหมูไปถึงเด็กนี้สักพัก มันก็หยุด

โอ้วววว เด็กมหัสจรรย์ ควบคุมลมได้ แต่ความลำบากดันมาตกที่ผมครับ ปรากฏว่า เด็กคนนั้นหน้าตารูปร่างเหมือนผม วันนั้นกลายเป็นมีเพื่อนประมาณ 3-4 คนมาถามผมว่าโดนลมบ้าหมูจี้ตูดมาเรื่อยๆรู้สึกไง คือ... นั้นไม่ใช่ผม

ซึ่งก็ซะใจกันไปกับเต้นท์ทหารที่บู้มมมมเป็นโกโก้ครั้นช์นะครับ

เราก็เข้าสู่เนื้อหาจริงจังกันต่อ เรียกรวม จัดที่นั่งกัน ฟังครูฝึกอธิบายเรื่องสถานีนี้กันไป

แต่ก็มีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นบ่อยครั้งครับ เพราะตลอดที่นั่งฟังครูฝึกบรรยาย ก็มีลมบ้าหมูเกิดขึ้นอีกประมาณ 3-4 ลูก มีอีกลูกนึงพัดเข้าไปเต้นท์หลัก ดึงหลังคากระชากออกไปครึ่งนึง ก็ซะใจกันอีกรอบ

ไม่นาน ความจริงคือนานมากครับ ฟังบรรยายจนเบื่อหลับไม่ได้ด้วย เขาก็ปล่อยพักละ ซื้อน้ำขนมตามใจชอบ

พักไม่นานก็เรียกนั่งฟังต่อ อ่าาาาาห์ ชีวิตช่างน่าเบื่อ แต่ก็เบื่อได้ไม่นานครับ เมื่อเขาเริ่มให้หยิบหน้ากากกันแก๊สที่แจกให้ออกมาฝึกใส่

สกิลที่ทุกคนต้องเรียนรู้จากทหารในครั้งนี้คือ สัญญาณที่บอกว่ามีแก๊สพิษคือ คำว่า "แก๊ส" ซึ่งทหารต้องใส่หน้ากากกันพิษให้ทันใน 9 วินาที...

สนุกกันจริงครับ ใส่หน้ากากเหม็นๆ กระชากหน้าตัวเองแรงๆ แอนด์ ดึงสายรัดรัดหัว ทำอย่างนี้อยู่รายรอบมากกว่าเขาจะให้เลิก... ก็ทำกันได้แหละครับ เก้าวินาที กระบวนท่าหน้ากากกันแก๊ส

แต่พีคกว่าคือหลังจากนั้น

ครูฝึกเริ่มประกาศหาอาสาสมัครครับ...

มันก็เหมือนกับการพนันด้วยเหรียญนำโชคแหละครับ เราไม่รู้ว่า คำว่าอาสาสมัครเนี่ย มันจะดีหรือแย่ ซึ่งส่วนใหญ่มันก็มักจะออกมาแย่ แต่รอบนี้ผมไม่พลาดหรอก เพราะเราได้รับข่าวสารที่เชื่อที่ได้จากเพื่อนที่เข้าเขาชนไก่มาก่อนหน้านี้ว่า

"มึงรีบยกมือขอเป็นอาสาสมัครซะ จะดีกว่า"

ทำไมหรอ? เพราะว่ามีรุ่นพี่ท่านหนึ่งผู้เรียนปีสามเท่าเราบอกว่า คนที่เป็นอาสาสมัครนะ จะได้ใส่หน้ากากไปอยู่ในห้องรมแก๊สซึ่งมีแก๊สน้ำตาอยู่ 10% จากของที่ใช้จริงๆ แล้วไปยืนในห้องรมแก๊สไม่นานก็ออก สบายๆ และปลอดภัย

ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นอาสาสมัครนะ เขาจะให้วิ่งเข้าห้องรมแก๊สทั้งที่ไม่มีหน้ากากเลย

ขออธิบายเรื่องห้องรมแก๊สก่อน อันที่จริงมันไม่ได้เป็นห้องหรอกนะ แต่มันเป็นเต้นท์ที่ปิดมิดชิด คล้ายๆเต้นท์หมอผ่าตัดในหนังนะ ซึ่งในนั้นก็มีแก๊สน้ำตาอยู่

แน่นอน ผมนี่อยากเป็นอาสาสมัครทันทีเลย แต่ในวันจริง ไม่รู้ทำไมผมก็นึกอยากลองแก๊สน้ำตาจังๆสักรอบเป็นประสบการณ์ เผื่อต้องไปชุมนุมอะไรสักครั้งไรงี้ ผมเลยไม่ขอเป็นอาสาสมัคร

ซึ่งสุดท้ายก็ตามนั้นแหละครับ ผมก็โดนวิ่งผ่านห้องรมแก๊สแบบไม่มีเครื่องป้องกัน อ่าาาาาาห์ แก๊สน้ำตา

ตอนแรกผมวางแผนอย่างดี อ่าห้า เจอเต้นท์ปุ๊ป วิ่งทะลุหลับตาผ่านไปเลย ง่ายๆ แก๊สจะได้โดนหน้าน้อยๆไง

โอโห้ แผนเพอร์เฟ็กต์ขนาดนี้ แต่เอาเข้าจริง ตอนวิ่งเข้าไปแล้วถึงประตูออก ดันมีพวกที่ยืนออกัน ไม่ออก ไม่รู้ออกันหน้าประตูออกทำเพื่ออะไร หรืออยากได้แก๊สน้ำตากัน แต่คือ ผมไม่อยากได้ไง ก็เลยกลายเป็นต้องยืนในนั้นเฉยๆประมาณ 3-5 วินาที

เวลาแค่ 3-5 วินาทีดูน้อยนะครับ แต่อันที่จริง แทบตาย

ทำไงได้ ผมนี่น้ำตาไหลอย่างไม่ทราบสาเหตุพร้อมกับอาการสุดวิเศษแสบตามไปหน้าสุดๆ

ต้องวิ่งรับอากาศบริสุทธิ์อยู่สักพักกว่าจะหายแสบ

แต่ไม่รู้ว่าจะบอกว่าผมโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เพราะสุดท้ายพวกที่ลำบากสุดก็น่าจะเป็นพวกที่เป็นอาสาสมัคร เพราะจากการลองถามเพื่อนที่เป็นอาสาสมัครแล้ว มันโดนหนักกว่า เช่น ลุกนั่งในเต้นท์ อะไรงี้ แล้วก็มีเพื่อนคนนึงเล่าว่า ทหารบอกให้ถอดหน้ากาก มันก็คิดว่าแก๊สน้ำตาหมดแล้ว ทันใดนั้น ทหารก็บู้มมมมมม ควันขาวๆก็ลอยคลุ้งไปทั้ว เพื่อนผมมันก็คิดว่า เห้ย ยาแก้พิษแน่ๆ เอ้า สูดเข้าเต็มปอดซะ...

ก็นั้นแหละครับ แต่มันไม่ใช่แก๊สยาแก้ แต่เป็นแก๊สน้ำตาอีกลูก เพื่อนผมที่ใส่หน้ากากก็แทบจะตายคาเต้นท์กันเลย

ตอนผมฟังเรื่องที่เพื่อนเล่า ตัวผมก็สับสนระหว่าง จะสมน้ำหน้าดี หรือ สงสารดี แต่แน่นอน เพื่อนที่ดีอย่างผมก็ต้องเลือกที่จะ.. สมน้ำหน้าอยู่แล้ว

ตอนนั้น ถ้าคุณลอยอยู่กลางอากาศเหนือบริเวณลานกว้าง คุณก็คงจะเห็นแค่เหล่าเด็กน้อยๆ ที่วิ่งพล่านไปมาอลม่านแน่นอน อ่าหหหห์ ช่างเป็นบรรยากาศที่สดชื่นและน่าสนุกสนานของเด็กวัยทีนจริงๆ

ไม่นานก็เรียกรวมอีกรอบ เรียกเก็บอุปกรณ์ละ สรุปฐาน เป็นอันจบสถานีที่สอง

ก็คงต้องขอขอบคุณเหล่าทหารกล้าที่มอบแก๊สน้ำตาให้เราสูดดมอย่างเต็มปอดชื่นใจนะครับ แต่ให้โดนอีกรอบก็คง say no

จบสถานีก็เหมือนเดิมครับ เดินกลับกองพันปกครองที่ 34 ขาก็ลากๆไป ขึ้นลงเนินไม่กี่ลูกก็ถึง ซึ่งก็เหนื่อยเอาการ

กลับถึงกองพันก็รวมเช็คคน กินข้าวเหมือนเดิม แน่นอน ไก่แดง

กินข้าวเสร็จ แต่ก็ยังไม่ได้อาบน้ำ เขาให้ดมกลิ่นเหม็นเน่าของตัวเองกันเล่นๆไปก่อน

ปล่อยว่างได้ไม่นาน เดี๋ยวเด็กสบายเกิน ก็ต้องเรียกรวมครับ

เชิญนักศึกษาวิชาทหารผู้น่ารักไปนั่งฟังบรรยายครับ (อย่างง่วง บอกเลย)

ก็จัดแถวเดินไปอีกจุด มีเก้าอี้ให้นั่ง ห่างจากกองพันปกครองไม่ไกลนัก แบ่งนั่งกันชุดละห้าคน

โดยเนื้อเรื่องของการบรรยายครั้งนี้แบ่งเป็นสามหัวข้อ ดังนี้

  • หมอขยะ
  • สิทธิที่จะได้จากการเรียนรด.
  • ปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ

เริ่มกันที่หัวข้อแรก หมอขยะ

หมอขยะ มีผู้บรรยายเป็นพระ ชื่อ หลวงพี่โจ เป็นโครงการเกี่ยวกับการแยกขยะอย่างสร้างสรรค์ โดยการจับกิจกรรมสันทนาการกับการแยกขยะมารวมกันเพื่อให้การแยกขยะดูน่าสนุก และไม่น่ารักเกียจ

ก็ดีครับ มีร้องเพลงนิดหน่อย และภาพเปิดให้ดู แต่ที่ฮาคือ มันมีกิจกรรมครับ พระท่านจะเปิดภาพให้เรา เราก็ต้องทำท่าต่างๆ มีสามท่า คือ คิดดี ทำดี และท่าสุดเจ๋งครับ ท่าปล่อยแสงงงงง!

ซึ่ง ท่าปล่อยแสงเนี่ย มันก็เหมือนท่าของอุลตร้าแมนปล่อยแสงนั้นแหละครับ แต่ประเด็นคือต้องพูดคำว่าปล่อยแสงด้วย มันเลยกลายเป็นคำพูดติดปากกันไปเลย ซึ่งก็เรียกเสียงเฮฮาจากเด็กนศท.ได้ดีพอสมควร

หัวข้อที่สอง สิทธิที่จะได้จากการเรียนรด.

เนื้อหาก็ตามนั้นแหละครับ เรียนกจบปีสามต้องทำไงต่อ รับเอกสารเมื่อไหร่ ถ้าโดนเรียกเกณฑ์ทหารให้เอาอะไรไปยื่น ถ้าเรียนต่อถึงปีห้าจะได้ยศอะไร การถูกเรียกตัวไปฝึก ค่าเบี้ยงเลี้ยงและเงินเดือนเมื่อต้องไปฝึก ค่ารักษาพยาบาล ค่าทำขวัญและค่าทำศพ

ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ คำขวัญทำศพ

โดยปกติ ค่าทำขวัญ จะคิดจากความเป็นไปได้ในการมีชีวิตอยู่คูณกับอะไรซักอย่าง ซึ่งหมายความว่า ยิ่งเราแข็งแรง มีแนวโน้มที่จะอายุยืน ครอบครัวเราก็ได้เงินทำขวัญมาก

แต่ ค่าคำขวัญรวมกับค่าทำศพของทหาร นี่ยังไม่เกิดแสนนึงเลย ผมแบบ เอิ่ม... ช่างมันละกัน ข้ามกันไปสู่หัวข้อต่อไป

หัวข้อสุดท้าย ปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ

หัวข้อนี้อลังทั้งภาพและเสียงและคนพูดครับ น้ำเสียงปลุกระดมพอๆกับกปปส.หรือ นปช.เลย เสียงซาวน์เอฟเฟ็กให้ความรู้สึกเหมือน พม่ากำลังจะเอาดาบแทงตูดข้าพเจ้า เสียงปืนใหญ่เอย อะไรเอย รวมๆคือดีครับ ฟังเพลิน

ส่วนเนื้อหาก็เกี่ยวกับสงครามเก้าทัพ อยุธยาแตกไปสองรอบ พม่ามาตีอโยธยา โยนเด็กเล็กเล่นเอาดาบเสียบเป็นลูกชิ้นเสียบไม้ และการเสียดินแดนตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงเขาพระวิหาร

โดยรวมก็คือจะสื่อว่า พวกประเทศที่มาตีเราเช่น พม่า เขมร ฝรั่งเศส อังกฤษ มันโครตเลวน่ะครับ

สรุปคือ ให้เอามันอย่างเดียว อย่าเอาสาระ!

(แต่ทหารที่มาพูด เขามีชวนให้เราไปตีเขมรทวงคืนเขาพระวิหารด้วย แหม่ ผมก็อยากไปนะ แต่ทหารเขาบอกว่าถ้าเขาให้ไป เขาคงโดนขึ้นศาลทหารแน่)

ก็จบการบรรยายแต่เพียงเท่านี้ครับ ช่วยกันเก็บเก้าอี้นิดหน่อย แล้วเดินกลับกองพันอันเป็นที่รัก

ปล่อยให้อาบน้ำและพักด้วย โอ้ววว รักครูฝึกจัง ซึ่งแน่นอน ผมอาบน้ำและแปรงฟัน เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องไปขึ้นเขาและจะไม่ได้เจอน้ำอีกเลย วันนี้เลยต้องขอชำระล้างบาปที่ทำมาก่อน

อาบน้ำเสร็จก็รวมตามปกติ แจ้งเวลากำหนดการ แล้วให้เข้าเต้นท์

เนื่องจากคืนก่อนหน้านี้เรามีอาการปวดคอกับหมอนโง่ๆที่มำจากเสื้อนอกรด.พับ คืนนี้เราเลยต้องพิถีพิถันเรื่องหมอนหน่อย

คืนนี้ผมเอาเสื้อซับในสามตัวพับทบกัน แล้วเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่พับทบลงไป แล้วเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพันรอบๆ

จากการทดสอบจับๆดู อ่าาาาห์ นุ่มสบายดีครับ ลองนอนก็ใช้ได้ดีพอสมควร คืนนี้จึงเป็นคืนที่ค่อนข้างสบายครับ อากาศเย็นๆ

จบวัน ก็ราตรีสวัสดิ์ครับ

- จบวันที่สอง -

ก็จบไปอีกภาคแล้วนะครับ ก็ขอขอบคุณสำหรับทุกคนที่ตามอ่านกันมาด้วย ของภาคแรกมีคนบอกว่าผมก็เขียนดี อ่านลื่นใช้ได้ ก็ต้องขอขอบคุณมากๆเลยนะครับ (ฮาๆ)

ของภาคสามน่าจะอัพในไม่ช้า โปรดติดตามกันต่อด้วยนะครับ ขอบคุณครับ